มธ.จัดงานรำลึก 43 ปี 6 ตุลาฯ 19

มธ.จัดงานรำลึก 43 ปี 6 ตุลาฯ 19


มธ.จัดงานรำลึก “ครบรอบ 43 ปี 6 ตุลาฯ 2519” อธิการฯ มธ.ชี้ เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ด้าน “หมอเลี้ยบ” แนะหยุดซึมเศร้าแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 6 ต.ค.62 มหาวิทยาลันธรรมศาสตร์ ได้จัดงาน “ครบรอบ 43 ปี 6 ตุลาฯ 2519” โดยเริ่มต้นกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้า ได้แก่ การทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 19 รูป ณ สวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ งาน “ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” พิธีวางพวงมาลาและดอกไม้ ณ ประติมานุสรณ์ “6 ตุลาคม 2519” โดยผู้แทนองค์กรต่างๆ อาทิ มธ., มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ,คณะกรรมการญาติวีรชน 6 ตุลา ,สมาคมญาติและวีรชน 14 ตุลา ,องค์การนักศึกษา มธ. ,สภานักศึกษา มธ. ,อดีต 18 ผู้ต้องหา 6 ตุลา ,ชมรมโดมรวมใจ ,ผู้แทนพรรคการเมือง ,สหภาพและสหพันธ์แรงงาน ,สมัชชาคนจน ,มูลนิธินิคม จันทรวิทุร ,เครือข่ายเดือนตุลา ,มูลนิธิ ๑๔ ตุลา ,คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา ๓๕ ,มูลนิธิศักยภาพชุมชน

ร.ศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า แม้เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 จะผ่านมาแล้ว 43 ปี แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นยังคงส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายๆ ระดับ ซึ่ง มธ. ตระหนักดีถึงความสำคัญและยอมรับความจริงในบาดแผลทางประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ ที่จะนำไปสู่การสรุปบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต

“เราจะร่วมกันจดจำรำลึก สืบทอดวัฒนธรรม คุณความดีและจิตวิญญาณของผู้วายชนม์เหล่านี้ไว้ ร่วมกันแปรความสูญเสีย ความโศกเศร้าให้เป็นพลังสร้างสรรค์ และร่วมกันจุดความสว่างไสวให้กับสังคมไทย ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต” ร.ศ. เกศินี กล่าว

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถารำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 โดยสรุปบทเรียนที่ได้รับตลอดระยะเวลา 43 ปี ว่า จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สามารถสรุปเป็นประเด็นได้ 6 ประเด็นด้วยกันคือ 1.ไม่มีใครอยากตาย แต่มีบางคนพร้อมเผชิญหน้ากับความตายเพื่อแลกกับอุดมการณ์ที่ตนใฝ่ฝัน 2.จงมีความสุขที่ได้ทำตามความฝัน แต่อย่ามีความสุขเพราะอยากให้ผู้คนยกย่องจดจำชื่อ 3.ฝันให้ยิ่งใหญ่แต่เดินไปทีละก้าว อย่าโบยตีตัวเองจนหม่นหมองในความทุกข์ ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข ทำตามความฝันไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ถ้าเหนื่อยก็พัก

4.ไม่ว่าอะไรจะพลิกผันความฝันก็ยังคงง่ายเหมือนเดิม คือเพื่อนร่วมสังคมอยู่ดีกินดี มีโอกาสในชีวิตเท่าเทียมกัน มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น และเลือกผู้บริหารประเทศด้วยตัวของเราเอง 5.สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ต้องเปลี่ยนแปลง ณ จุดตัดของกาลเวลาหนึ่งที่ปัจจัยทุกอย่างพร้อม การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น 6.พรุ่งนี้หรือชาติหน้าไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน วันนี้จึงควรอยู่อย่างมีสติและอยู่อย่างราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อวินาทีที่เราจะจากไป จะได้บอกกับตัวเองได้ว่าฉันได้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝันแล้ว

นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตัวไม่เคยลืมภาพในช่วงสายของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และทุกครั้งที่ความทุกข์ ความเศร้าจะเข้ามาเกาะกุมจิตใจก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อนึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์และเพื่อนที่ทิ้งชีวิตสบายๆ ในเมืองหลวงสู่ป่าเขาและมีบางคนไม่ได้กลับมา ก็จะลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่าหยุดซึมเศร้าแล้วก้าวต่อไป

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
รำลึก ”สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน