รพ.ดังแจง ปมรักษาหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นป่วยมะเร็ง แต่กลับได้รับ เชื้อ HIV แทน เผยผู้ป่วยเข้ารักษาอาการป่วยตั้งแต่ปี 2547 รพ.รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ที่ผ่านมาดูแลเต็มที่และจะดูแลต่อเนื่อง ขอยึดมั่นให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมอย่างดีที่สุด
จากกรณี นายทาเครุ หนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น อายุ 24 ปี ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนดัง หมดค่ารักษาพยาบาลไปกว่า 7 ล้าน แต่ต่อมากลับพบว่าติดเชื้อ HIV ซึ่งคาดว่ามาจากการถ่ายเลือดระหว่างการรักษา โดยหลังจากผู้ป่วยหันไปพึ่งสมุนไพร 2-3 ปี พอกลับมารักษาที่โรงพยาบาลกลับถูกปฏิเสธ บอกให้ไปใช้สิทธิ์ 30 บาทแทน
เมื่อวันที่ 9 พ.ค.62 ฝ่ายสื่อสารองค์กรโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า จากกรณีที่รายการช่องหนึ่งได้ทำการเผยแพร่ข่าว “หนุ่มวัย 24 ปี รักษามะเร็งที่โรงพยาบาลดังกลับได้รับเชื้อ HIV” เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเวลาประมาณ 20.53 น. ซึ่งมีการรายงานข้อมูลของผู้ป่วยและปรากฏภาพโลโก้ของโรงพยาบาลฯ บนเอกสารผู้ป่วยตามที่มีการเผยแพร่ในรายงานข่าวนั้น
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ขอชี้แจงว่าบุคคลในภาพข่าวนั้นเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาล ซึ่งได้รับผู้ป่วยรายดังกล่าวเข้ารับการรักษาอาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 หรือเมื่อ 15 ปีก่อน
เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผ้ปู่วย โรงพยาบาลฯไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลประวัติการรักษาผู้ป่วยรายดังกล่าวได้ แต่ขอถือโอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อแสดงถึงจุดยืนในการให้การรักษาและการเยียวยาแก่ผู้ป่วย ตามหลักมนุษยธรรมที่โรงพยาบาลได้ปฏิบัติตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา
1.ข้อปฏิบัติในการให้เลือด โรงพยาบาลฯ มีข้อปฏิบัติในการรับเลือดจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อให้การรักษาแก่ผู้ป่วย ด้วยเป็นสถาบันที่มีการคัดเลือกและตรวจเลือดผ้บูริจาคตามมาตรฐาน ระดับประเทศ และระดับสากล มีมาตรการคัดกรองผ้บูริจาคโลหิตด้วยแบบสอบถามและซักประวัติพฤติกรรมความเสี่ยง มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธีซีโรโลยี ด้วยน้ำยาที่มีความไวสูงสุด และตรวจด้วยวิธี Nucleic acid amplification test (NAT)
ดังนั้นผลิตภัณฑ์เลือดจะมีความปลอดภัยสูง ผ่านการตรวจคัดกรองการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงการตรวจคัดกรองเชื้อ HIV ด้วย ในช่วงปี พ.ศ.2547 ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เข้ารับการรักษาทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติฯ ได้ใช้เทคโนโลยีการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยเทคนิค NAT ที่สามารถตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้มาถึงปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองการติดเชื้อในเลือดยังมีข้อจำกัด กรณีที่ผู้บริจาคเพิ่งได้รับเชื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งในเลือดจะมีปริมาณเชื้อไม่มากพอที่จะตรวจพบได้ด้วยวิธีใดๆ (Window period) จึงอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับเชื้อเหล่านี้ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าทางโรงพยาบาลต่างๆ ล้วนมีข้อปฏิบัติในการให้ผู้ป่วยรับทราบถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการได้รับเลือด ซึ่งรวมถึงเชื้อ HIV ด้วย แล้วจึงลงนามยินยอมรับการให้เลือดเพื่อการรักษาที่จำเป็น
2.เรื่องการดูแลรักษาเพื่อเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม โรงพยาบาลรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายดังกล่าว และยึดมั่นในการดูแลให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม มาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือค่าดูแลรักษาเรื่อง HIV และอาการข้างเคียงอื่นๆ อันเป็นผลจากเชื้อ HIV โดยปรากฏในประวัติย้อนหลังผู้ป่วย ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษา เป็นจำนวนเงินกว่า 7 หลักรวมการเข้ารักษาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน 266 ครั้ง
ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการการบริบาลด้วยความเอื้ออาทรแก่ผ้ปู่วยที่โรงพยาบาลยึดมั่นมาตลอดกว่า 38 ปีของการดำเนินงาน โรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจต่อเหตกุารณ์ที่เกิดขึ้นและมีความเห็นใจต่อตัวผู้ป่วยตลอดจน ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ขอถือโอกาสนี้ ยืนยันที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยรายนี้เป็นอย่างดีที่สุด รวมถึงการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลตามหลักคุณธรรมและมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมต่อไป
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
ชีวิตพลิก! แม่พาลูกรักษาลูคีเมีย รพ.ดัง กลับได้รับเชื้อ HIV เพิ่ม สูญค่ารักษา 7 ล้าน สูญเปล่า