สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานข่าวว่า พบชายชาวอังกฤษซึ่งติดเชื้อ HIV แล้วสามารถรักษาหายได้เป็นรายที่สองของโลก ด้วยวิธีการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
รายงานดังกล่าวมาจากการตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสาร Journal Nature เมื่อวันที่ 26 ก.พ.62 โดยระบุว่า ชายรายนี้พบการติดเชื้อ HIV-1 ตั้งแต่ปี 2003 และรับการรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัสตั้งแต่ปี 2012
กระทั่งในปีต่อมาเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากนั้นจึงเข้ารับเคมีบำบัดและปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ในปี 2016 รวมถึงก็ยังคงรับยาต้านไวรัสต่ออีกเป็นเวลา 16 เดือน
ผลปรากฏว่าหลังจากการเข้ารับการตรวจร่างกายกลับไม่พบการติดเชื้อไวรัส HIV ที่จะพัฒนาเป็นโรคเอดส์อีกต่อไป ด้านทีมแพทย์ที่รักษาได้ทำการทดสอบว่าเขาปลอดเชื้อ HIV จริงหรือไม่ ด้วยการงดรับยาต้านไวรัสเป็นเวลา 18 เดือน ก็พบว่าตรวจไม่พบเชื้อไวรัส HIV ในร่างกายของคนไข้รายดังกล่าวอีก
กรณีนับเป็นรายที่ 2 ของโลกที่อยู่ในภาวะ “โรคสงบ” หลังจากที่มีการพบผู้ติดเชื้อ HIV ที่รักษาหายได้ด้วยวิธีปลูกถ่ายสเต็มเซลล์รายแรกของโลกเมื่อปี 2008 โดยในเคสนั้นมีการเปิดเผยชื่อผู้ป่วยที่รักษาหายว่าคือนาย Timothy Ray Brown หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “The Berlin Patient”
โดยเป็นเคสการรักษาที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ติดเชื้อ HIV และรักษาด้วยยาต้านไวรัส แต่เกิดป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เลยมีการรักษาด้วยการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ปรากฏว่าหายจาก HIV ทุกวันนี้เขาอยู่ได้ปรกติโดยไม่ต้องกินยาต้าน แต่วิธีการนี้ไม่ใช่ว่าสามารถใช้ได้กับทุกคน เพราะมีหลายๆ เคสที่ใช้วิธีเดียวกัน แต่ก็ยังมี HIV อยู่
ด้านนายแพทย์ Ravindra Gupta ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และเป็นหนึ่งในทีมนักชีววิทยาด้าน HIV ที่ทำการรักษาชายผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวอธิบายว่า
“นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ผู้ป่วยรายนี้จะมีชีวิตรอด ความโชคดีคือการได้รับสเต็มเซลล์ของผู้บริจาคที่พันธุกรรมที่รู้จักกันในชื่อ CCR5 delta 32 ซึ่งยอมรับการต่อต้าน HIV และเข้ากับผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี แต่การกลายพันธุ์นี้พบได้ยากมาก”
ทั้งนี้ การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ด้วยวิธีข้างต้นนั้นค่อนข้างอันตราย มีความเสี่ยงสูง ราคาแพง และไม่ใช่ว่าจะได้ผลกับผู้ป่วยทุกราย ความสำเร็จครั้งนี้นับว่าเป็นความหวังและความก้าวหน้าครั้งสำคัญของผู้ติดเชื้อทั่วโลกในการรักษาให้หายขาดต่อไป
ที่มาข่าว : posttoday