ปิดฉากเวที WEF เวทีกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ไทยเข้าร่วม หวังฟื้นความเชื่อมั่น ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ และสร้างเครือข่าย ยกระดับแรงงานไทย โอกาสยิ่งใหญ่ที่รอสานต่อ
หลังจากน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมประชุม World Economic Forum Annual Meeting 2025 (WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค. 2568 8 ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.ต่างประเทศ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)และยังร่วมมือกับ ภาคเอกชนมา นำภาคธุรกิจ ภาคประชาชนสร้างทีมไทยแลนด์ ร่วมพูดคุยกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เพื่อสร้างสร้างโอกาสในเวทีสาธารณะระดับโลก เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยให้คนทั่วโลก
ทั้งนี้ นายกฯ ได้พบหารือกับผู้นำประเทศ ตัวแทนจากแต่ละประเทศ บุคคลสำคัญระดับโลก รวมภึงนักธุรกิจบริษ้ทยักษ์ใหญ่ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพ ในการผลักดันนโยบายต่อเนื่องให้กับนักลงทุนเต่างชาติ เพื่อให้วางแผนนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยในระยะยาว ได้แก่ ยังพบปะพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ กับผู้นำและบุคคลสำคัญ เช่น นายกฯมาเลเซีย, นายกฯมอนเตรเนโก, นายกฯสวีเดน, นายกฯภูฏาน และนาย Olivier Schwab บุตรชายของผู้ก่อตั้ง WEF นาง Melanie Brown (หัวหน้าด้านวัฒนธรรมของ WEF) ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย เป็นที่รู้จักกับนานาประเทศและเกิดความสัมพันธ์ทั้งระดับภูมิภาค
ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส,นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนีย นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐคอซอวอ และนายมูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ รวมถึงนายเคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF)
ทั้งนี้ได้หารือกับผู้บริหารและตัวแทนจาก 11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลก ได้แก่ DP World, Nestle, Coca Cola, Bayer AG, Astra Zeneca, Salesforce, Google, Pepsi, AWS, Grap, Amazon Web Services มีการตอบรับและให้ความสนใจลงทุน ส่วนบริษัทใหม่ให้ความสนใจมากที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมเป้าหมาย ขังเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศจากอุตสาหกรรมแห่งอนาคต คือ กลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ศูนย์ข้อมูล (Data Center)
สานต่อแลนด์บริดจ์
DP World เกี่ยวกับแลนด์บริดจ์ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา โดยต่อยอดจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ จึงได้หารือกับผู้นำหลายประเทศที่ยังไม่เคยพบปะแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกัน เช่น ผู้นำภูฏาน มอนเตเนโก สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อาร์เมเนีย บังกลาเทศ และได้เจอนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย จึงมีการพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละประเทศร่วมกัน
กูเกิ้ล มีการเปิดการเจรจาจัดอบรมพัฒนาคน การเพิ่มทักษะให้ความรู้ เกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล (ดาต้าเซ็นเตอร์) มากขึ้น โดยการทำงานกับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ ให้กับนักเรียน นักศึกษา มีความรู้และสร้างโอกาสเส้นทางการทำงานแห่งอุตสาหกรรมแห่งอนาคตโลก
“มีการขยายสร้างความสัมพันธ์ (คอนเน็กชั่น)เพิ่มเติมกับภาคธุรกิจ และภาครัฐของหลายประเทศ เป็นกาาตอกย้ำว่าคนไทยมีศักยภาพ ธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคต ทั้งAIและเทคโนโลยีต่างๆ สนับสนุนให้เทรนนิ่งคนของเขามาสอนคนของเรา ให้มีทักษะด้าน ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยทำงานกับมหาวิทยาลัย จัดทำหลักสูตรวิชาการ เพิ่มโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา เพิ่มความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในอีก 10-20 ปี“
นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี FTAไทย-เอฟตา กับประเทศในยุโรป(อียู) ภายในปี 2568 ช่วยเปิดประตูการค้าบานใหญ่ให้กับประเทศไทยขยายตลาดเพิ่มประเทศคู่ค้า ต่อยอดธุรกิจ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจการทำการค้ากับอียู กระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
จับมือเนสท์เล่ ส่งต่อเกษตรยั่งยืน
Nestlé – ได้หารือกับคุณเรมี เอเจล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย และแอฟริกา บริษัทเนสท์เล่ ได้หารือในประเด็นการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกาแฟ ซึ่งบริษัทฯ พร้อมสนับสนุนความรู้ด้านการเพาะปลูกกาแฟแก่เกษตรกรไทยค่ะ และดิฉันได้ยืนยันความพร้อมของรัฐบาลในการสนับสนุนการลงทุน ease of doing business ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นเป้าหมายร่วมกัน
Coca-Cola – หารือกับ เจมส์ ควินซีย์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Coca-Cola ซึ่งถือเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ประเด็นหลักของการหารือคือความร่วมมือด้านการจัดการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนความเป็นไปได้ใหม่ๆ เช่น การร่วมมือกันศึกษาแนวทางป้องกันน้ำท่วม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย
ไบเออร์ยกระดับการแพทย์ 30 บาทรักษาทุกที่
Bayer – ได้พบหารือกับคุณสเตฟาน อูลริช กรรมการบริหาร บริษัท ไบเออร์ เอจี และผู้บริหารสูงสุดแผนกฟาร์มาซูติคอล เน้นย้ำนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการพัฒนากระบวนการวิจัยด้านการแพทย์ ยา และนวัตกรรมการรักษาโรค โดยดิฉันเชื่อว่าสามารถแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันได้ ในการยกระดับนักวิจัยของไทยตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการเกษตรของไทยที่จะเป็นวัตถุดิบในการผลิตตัวยาต่อไป
ปั้นไทยศูนย์กลางรักษาพยาบาล
AstraZeneca – เป็นเกียรติที่ได้พบหารือกับคุณ Michel Demaré ประธานกรรมการ บริษัท AstraZeneca จำกัด (มหาชน) ดิฉันได้แสดงความยินดีที่บริษัทฯ มีแผนการลงทุนในประเทศไทยด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์ บุคลากรที่มีทักษะสูง การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านชีวการแพทย์และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ โดยมุ่งเน้นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคไตและโรคมะเร็ง (มะเร็งทรวงอกและมะเร็งปอด) รวมถึงการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ ในประเทศไทย โดยรัฐบาลพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อมุ่งหน้าสู่การเป็นศูนย์กลาง wellness & medical hub ให้ได้ในปี 2573
ทีมไทยแลนด์ เอาอะไรมาฝากคนไทย
การเข้าร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) ของทีมไทยแลนด์ในปี 2568 ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เวที WEF ทำให้คณะทีมไทยแลนด์ได้รับข้อมูลและความรู้ใหม่ ที่จะสร้างโอกาสสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศในอนาคต จากประโยชน์ ดังนี้ คือ
- การฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ
การประชุม WEF ทำให้รัฐบาลไทยสามารถแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายที่เป็นมิตรต่อการลงทุน ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาศักยภาพในการเข้าไปลงทุนในประเทศไทยในระยะยาว
- สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ
การพบปะกับผู้นำประเทศและตัวแทนธุรกิจระดับโลก เช่น Google, Amazon, Bayer, และ Nestlé ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระดับนานาชาติ ซึ่งนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในการลงทุนและความร่วมมือในอนาคต
- โอกาสในการพัฒนาแรงงาน
การเจรจาเพื่อเพิ่มทักษะให้กับแรงงานไทยผ่านการทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำ เช่น Google ที่มีแผนจัดอบรมและพัฒนาทักษะแห่งอนาคต โดยการทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับแรงงานไทย
- เสริมสร้างข้อตกลงการค้า
แผนการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและประเทศในยุโรป (EFTA) ภายในปี 2568 จะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถขยายตลาดและกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจใหม่ๆ
- การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่
การหารือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เพื่อมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดาต้าเซ็นเตอร์ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปในทิศทางที่ทันสมัยและเข้ากับแนวโน้มโลก
- การขยายศักยภาพประชาคมธุรกิจ
การเข้าร่วมเวทีระดับโลกนี้ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านการค้าและการลงทุน รวมถึงการเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในอนาคต