เม็ดฟู่รักษ์โลก ทางเลือกใหม่ลดขยะพลาสติก และพลังงานขนส่ง 95% จากแป้งจี่ ชนมน รุ้งกำธรธรรม ผู้เป็นเมล็ดพันธุ์ของการปลูกฝัง ออกยอดตระหนักถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม สู่โจทย์ทางธุรกิจทำอย่างไรให้อยู่รอด ทั้งคนและโลก
เขียนโดย จุฑาทิพย์ สมสุข
1.เติมน้ำในขวดล้างมือปริมาณ 250 มิลลิลิตร
2.หยอดเม็ดฟู่ทรงกลม ในถุงกระดาษใบจิ๋ว ลงไปในน้ำให้หมด
3.เขย่า ๆ ผสมปฏิกิริยา และรอคอย ประมาณ 10 นาที
แค่เติมน้ำ หยอดเม็ดฟู่ เขย่า ก็พร้อมใช้! วิธีการใช้งานง่าย ๆ ไม่ได้ต่างจากการใช้ถุงรีฟิลทั่วไปที่เปิดฝาขวดออกและเทน้ำยาลงไป แต่ความต่างคือความสบายใจที่มาพร้อมกับการลดขยะพลาสติก แม้จะเล็กน้อยแต่ส่งผลระยะยาว ทาง ESG Universe ได้มีโอกาสทดลองใช้และพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับแป้งจี่ ชนมน รุ้งกำธรธรรม ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เม็ดฟู่ทำความสะอาด ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงนิสัยผู้บริโภคให้หันมาใช้สินค้าที่ออแกนิกและปลอดภัยต่อทั้งคนในบ้านและโลกใบนี้ แถมช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าเวลาไปซื้อของอีกตั้งหาก เพียงแค่หยิบซองเล็ก ๆ เบาๆ ขึ้นมาใช้ ก็อาจรู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ
ทำความรู้จัก Fongdoo เม็ดฟู่รักษ์โลกจากใจคนรุ่นใหม่
ชนมน รุ้งกำธรธรรม หรือแป้งจี่ เจ้าของแบรนด์ Fongdoo (ฟองดู) เล่าให้ฟังถึงผลิตภัณฑ์เม็ดฟู่ทำความสะอาดมือ เริ่มต้นจากไอเดียในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรี ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน เธอและทีมเพื่อนร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลและ CU Innovation Hub เพื่อรวมเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้สร้างสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลก แป้งจี่ซึ่งเคยทำงานฟูลไทม์สายเทคโนโลยี กลับมาลุยเต็มตัวกับโครงการนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจที่ไม่เพียงแค่สร้างกำไร แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) พร้อมกับส่งต่อความหวังว่าเม็ดฟู่เล็ก ๆ นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีกว่าในอนาคต
“ถ้าโลกร้อนขึ้น วุ่นวายขึ้น มีผลกระทบทางธรรมชาติเยอะขึ้น ธุรกิจและคนเราก็จะอยู่กันยากขึ้น มันเป็นผลกระทบด้วยตรง ส่วนเราชอบขายของ ชอบทำสินค้า ชอบทำธุรกิจ แต่ไม่ได้อยากทำอะไรที่ส่งผลกระทบไม่ดี หรือว่าสร้างขยะ ทำลายโลกไปมากกว่านี้ ไม่อยากจะเอาเปรียบโลกแล้วได้กำไร เลยกำหนดเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ดีต่อโลก สังคม หรือ ESG เนี้ย ให้มากที่สุดแทน ดูว่ามันสามารถเป็นไปได้มั้ย แต่ไม่ได้ว่าทำอะไรที่มันขาดทุนนะ เราก็ต้องอยู่ได้ด้วย”
จากความหลงใหลในงานค้าและสิ่งแวดล้อม
แป้งจี่เล่าว่า เธอซึมซับความรักในงานขายจากคุณพ่อและคุณตาที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดมาตั้งแต่เด็ก การได้ช่วยขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามหน้าร้านสร้างแรงบันดาลใจให้เธอรู้สึกหลงใหลในธุรกิจ และเริ่มทดลองขายของกระจุกกระจิกตั้งแต่เรียน เช่น ขายจิวเวอรี่ เขียนหนังสือ ขายขนม ไปจนถึงดอกไม้ในงานปัจฉิม
“เรารู้สึกว่าชอบขายของ แต่ก็อยากทำแบบที่ไม่รู้สึกผิดกับลูกค้าหรือสิ่งแวดล้อม” เธอกล่าว
การตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ธุรกิจเม็ดฟู่รักษ์โลกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเพื่อนและผู้คนรอบตัวตั้งคำถามด้วยความเป็นห่วง ถึงความเข้าใจของตลาดต่อสินค้านี้ แต่เธอยังคงเดินหน้า ทดลองตลาด พูดคุยกับผู้บริโภค ไปยืนตามหน้าเชลวางสินค้า ดูว่าคนเลือกซื้อของจากอะไร และรู้ว่าสินค้ารักษ์โลกในธุรกิจไม่ได้เป็นตัวเลือกหลัก ๆ ของผู้บริโภค ทั้งที่จริงส่งผลกระทบกับเราและเป็นเทรนด์ที่กำลังมา ช่วงแรกก็มีความกังวลใจ ก็มีแรงขับเคลื่อนไปต่อเพราะเพื่อนในทีม ถึงแม้ตอนแรกเริ่มต้นทำคนตัวคนเดียวเหงา ๆ แต่หลังจากนั้นก็หาเพื่อนรวมอุดมการณ์ แล้วมานั่งลุยต่อด้วยกัน
“เราต้องการให้สินค้ารักษ์โลกไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากใช้จริง ๆ จุดดีคือ ราคาและการใช้งานที่เข้าใจง่าย ไว้วางใจได้ ว่าปลอดภัยกับทุกคนในบ้านและสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะใจผู้บริโภคได้เหมือนกัน”
จุดประกายจากความหงุดหงิดในชีวิตประจำวัน
“จุดเริ่มต้นของฟองดูมันง่ายมาก แค่ความหงุดหงิดเวลาเห็นขยะพลาสติกในถังขยะทุกวัน”
แป้งจี่เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทิ้งขยะพลาสติกเยอะขนาดนี้ ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้มีคนอยู่เยอะเลย เธอยังรู้สึกว่า ขวดน้ำยาที่เห็นตามซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นใหญ่เกินความจำเป็น รกบ้านและเต็มไปด้วยสารเคมีรุนแรง และใกล้ตัวเราเกินกว่าที่จะมองข้ามไป
แป้งจี่เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมที่มาจากประสบการณ์วัยเรียน เธอเติบโตในโรงเรียนทางเลือกที่เน้นความใกล้ชิดธรรมชาติ ตั้งแต่การล้างกล่องนมเพื่อนำไปรีไซเคิลจนถึงการแยกขยะอย่างเป็นระบบ โรงเรียนเป็นเหมือนสถานที่แรกที่ปลูกฝังความคิดที่ว่าการกระทำเล็ก ๆ มีผลต่อโลก ความคิดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเธอ ที่บ้านจึงไม่เพียงแค่แยกขยะ แต่ยังพยายามลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง แม้การใช้ถุงรีไซเคิลจะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง ถุงพลาสติกรีไซเคิลได้เพียง 1-2 ครั้ง และโอกาสที่พลาสติกจะถูกรีไซเคิลใหม่มีน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
นี่จึงเป็นจุดที่เธอคิดว่า ถ้ามีน้ำยาทำความสะอาดที่มาในรูปแบบเม็ดฟู่ซองเล็ก ๆ แค่ละลายน้ำก็ใช้ได้ มันจะช่วยประหยัดพื้นที่ ลดการใช้พลาสติก และดูมินิมอลน่าใช้งานมากขึ้น แถมยังลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่ไม่จำเป็น
เพราะบ้านคนไทยมักใช้สารเคมีที่อันตราย ?
“บางทีเราได้รับข่าวว่ามีคนได้รับอันตรายจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านเยอะมาก ๆ ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน แล้วที่นี้เรื่องบ้านคนไทยยังเน้นใช้ของ มีสารเคมีกัดกร่อนรุนแรง มาก ๆ บางทีอันตรายถึงชีวิต คือเราไปเจอ ว่าจริงๆ มันมีทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า เช่น ใช้สารสกัดธรรมชาติ”
แป้งจี่เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอเลือกพัฒนาเม็ดฟู่ฟองดู โดยเริ่มจากโฟมล้างมือที่เป็นออร์แกนิกและ eco-friendly ซึ่งใช้วัตถุดิบแบบฟู้ดเกรด อ่อนโยนต่อผู้ใช้ รวมถึงสัตว์เลี้ยง เด็ก และผู้สูงอายุ เธอวางเป้าหมายให้ฟองดูเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดครบวงจรที่ปลอดภัยและยังคงประสิทธิภาพ เช่น การฆ่าเชื้อบนพื้นผิวต่าง ๆ ให้ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายปลอดภัยที่สุดและไว้วางใจได้ว่าทุกคนในบ้านจะไม่เสี่ยงต่อสารเคมีรุนแรง ตอนนี้เธอกำลังปรับสูตรและทดสอบประสิทธิภาพในแล็บ โดยยังคงยึดหลักความอ่อนโยนและปลอดภัยควบคู่กันไป พร้อมตั้งเป้าพัฒนาไม่หยุดอยู่แค่โฟมล้างมือ ในอนาคตทีมยังวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เม็ดฟู่ใช้ครั้งเดียวสำหรับนักเดินทาง เหมือนสบู่กระดาษในวัยเด็ก แต่เป็นเวอร์ชันที่ย่อยสลายง่ายและสะดวกกว่าเพื่อสร้างตัวเลือกอ่อนโยนที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
ESG เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างไร?
“ESG ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจให้มีกำไร แต่คือการทำให้ธุรกิจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม”
แป้งจี่เล่าถึงมุมมองที่เธออินกับแนวคิดนี้จากการศึกษาข่าวและประสบการณ์การฝึกงาน โดยเธออธิบายว่า ESG แตกต่างจาก CSR ที่มักมุ่งเน้นกิจกรรมระยะสั้น เช่น บริจาคหรือปลูกป่า แต่ ESG เป็นการสร้างความยั่งยืนในภาพรวม ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับธุรกิจในระยะยาว
“ไอเดียหลักของการทำเม็ดฟู่คือการลดขยะพลาสติก ซึ่งการที่เราใช้เม็ดฟู่แบบนี้จะช่วยลดการใช้พลาสติกจากบรรจุภัณฑ์เช่น ขวด ถุงรีฟิล ที่สุดท้ายเราก็ใช้ไปอย่างรวดเร็ว แล้วขยะพลาสติกก็จะอยู่ไปอีก 100 ปี หรือกองทับถมกันอยู่เป็นไมโครพลาสติก แล้วกลับมาหาเราอีกรอบหนึ่ง”
สำหรับเม็ดฟู่ฟองดู เชื่อมโยงกับ ESG คือสิ่งแวดล้อม (E) จากการลดขยะพลาสติกซึ่งการลดขยะที่ดีที่สุดคือการไม่สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่แรก ตัวเม็ดฟู่ของฟองดูใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษที่ย่อยสลายได้ทั้งหมด ลดการใช้ขวดพลาสติกและถุงรีฟิลซึ่งกลายเป็นไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านสังคม (S) แป้งจี่มุ่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมผ่านผลิตภัณฑ์ พร้อมวางแผนพัฒนาอุปกรณ์ทำความสะอาดจากสมุนไพรไทยเพื่อสร้างงานให้ชุมชนเพื่ออยากสร้างงานจากคนไทยและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ แม้ด้านธรรมาภิบาล (G) อาจยังไม่เกี่ยวโดยตรงกับแบรนด์ แต่เธอก็ยึดมั่นในการทำธุรกิจด้วยความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้
ทางเลือกใหม่ ลดขยะและพลังงาน
การลดขยะพลาสติกเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ธุรกิจ และครัวเรือน แม้ว่าภาครัฐและธุรกิจจะเริ่มปรับตัว แต่ภาคครัวเรือนเองก็สำคัญ เพราะขยะในชีวิตประจำวันรวมกันแล้วส่งผลกระทบไม่น้อย เม็ดฟู่จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของสินค้าที่ช่วยลดขยะพลาสติกและยังลดการใช้พลังงานในกระบวนการขนส่งได้ถึง 95% เพราะลดน้ำหนักของสินค้า ทำให้รถขนส่งใช้น้ำมันน้อยลง ลดการใช้พลังงาน
“การเปลี่ยนมาใช้เม็ดฟู่มันช่วยลดพลังงานในการขนส่งได้ 95% จริงๆ เพราะแค่เราลดน้ำหนัก ที่รถจะต้องขนส่งลงไป 95% หมายถึงว่าจากรถละขั้นแล้ว ปกติจะต้องมี 95 คันที่ขนแค่น้ำเปล่าเฉยๆ เพื่อไปทำน้ำยาเนี่ย หรือเพื่อเอามาขายให้เราเนี่ย ถ้าลดลงไปแล้วมันเหลือ 5 คันเนี่ย คือมันลดพลังงานลงไปได้เยอะมาก” แป้งจี่ทิ้งท้าย