เชื้อชั่วไม่เคยตาย…เชื้อโกงไม่เคยสูญหาย ตราบเท่าที่คนไทยยังใสซื่อ และพิสมัยกับมนต์เสน่ห์สินค้า-บริการราคาถูก ทั้งที่รู้ทั้งรู้”ถูกและดี” มีที่”ฟู้ดแลนด์”เจ้าเดียวเท่านั้นในเมืองไทย จู่ๆเมื่อไม่กี่วันก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ เชื้อโกงก็เกิดปะทุสำแดงอาการขึ้นกลางสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีชาวบ้านใสซื่อจำนวนนับพันชีวิต ที่ใฝ่ฝันอยากไปตะลุยดงซากุระแดนปลาดิบ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกเหลือเชื่อตกเป็นเหยื่อติดเชื้อโกงอย่างจัง ขณะที่มนุษย์เพศเมียสารพัดชื่อสารพันนามสกุล ซึ่งรู้จักกันในฉายา”ซินแสโชกุน” เป็นตัวการปล่อยเชื้อโกง ว่าไปแล้วฉายา”ซินแสโชกุน” ต้องถือเป็นการยกยอปอปั้นกันของพวกต่ำต้อยด้อยสติสัมปัญชัญญะและคุณธรรมอย่างแสนสาหัส โดยความหมายของ”ซินแส” ซึ่งออกเสียงสำเนียงแบบแต้จิ๋ว หรืออีกนัยหนึ่ง”เซียนเซิน” ตามการออกเสียงแบบจีนกลาง หมายถึง”ผู้อาวุโส/ผู้ทรงภูมิปัญญา/นักปราชญ์” ขณะที่”โชกุน” หมายถึงขุนนางชั้นสูงระดับจอมทัพ หรืออัครมหาเสนาบดี ของญี่ปุ่นยุคโบราณ ซึ่งไม่มีความคู่ควรใช้กับมนุษย์เพศเมีย วัยกระเตาะแค่ 30 กะรัต ที่มีพฤติกรรมต้มตุ๋นฉ้อโกงประชาชนแม้แต่น้อย พฤติกรรมมนุษย์เพศเมีย ที่อวดอ้างตนเป็น”ซินแสโชกุน” รายนี้มีชื่อ-นามสกุลแต่อ้อนแต่ออกคือ”สหชม นาคฤทธิ์” แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยรวมเบ็ดเสร็จ 6 ชื่อ กับอีก 4 นามสกุล กว่าจะมาลงตัวที่ชื่อ-นามสกุลปัจจุบัน คือ”พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ” ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด ที่ใช้แพคเกจเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูก อ่อยเหยื่อล่อลวงชาวบ้านจำนวนมากให้หลงเชื่อ แม่เจ้าประคุณทูนหัวมนุษย์มหาภัยรายนี้ มีลวดลายลีลาลึกล้ำในการทำให้ชาวบ้านเคลิบเคลิ้มไปกับ”ทัวร์ยกเมฆ” โดยขี่กระแสออนไลน์ไฮเทคยุคดิจิตอล 4.0 ด้วยเล่ห์อุบาย 3 ป. “ปั้น-ปั่น-ปลอม” ที่กำหนดจังหวะการเขยื้อนเคลื่อนไหวให้สอดคล้อง และเสริมพลังการชวนเชื่ออย่างเหมาะเจาะลงตัว ปั้น..คือปั้นโปรไฟล์ของตัวเองให้ดูดี มีทั้งความใจดี..ใจบุญ และน่าเชื่อถือ ในคราบไคล”หมอดู”บริการดูดวงฟรี กระทั่งได้รับการอุปโลกน์เลื่อนขั้นเป็น “ซินแสโชกุน” ปั่น..คือปั่นคอมเมนท์ความเห็นสารพัดสารเพ ในสังคมออนไลน์ ให้ดูดี-เด่น-ดัง สำหรับใช้เป็นบันไดทองรองรับการจัดกิจกรรมต้มตุ๋นได้อย่างสนิทใจ ปลอม..คือปลอมตัวเข้าไปสิงในแอคเคาท์ ของบรรดาเซเลบดี-เด่น-ดัง ในโลกเสมือนจริง บนสังคมออนไลน์ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือยุยงปลุกปั่นชวนให้ชาวบ้านหลงเชื่อตามคำเชิญชวนของ”ซินแสโชกุน” ก้นบึ้งเบื้องลึกความสำเร็จในการล่อลวงต้มตุ๋นของเครือข่ายซินแสโชกุน ยุคดิจิตอล 4.0 หรือย้อนไกลไปถึงยุคแชร์แม่ชม้อย…แชร์แม่นกแก้ว…แชร์ชาร์เตอร์ฯ…และอีกสารพัดแชร์ลูกโซ่หลายสายพันธุ์ ล้วนอาศัยปัจจัยในลักษณะเดียวกันเป็น”ปุ๋ย”หล่อเลี้ยงชั้นเลิศ คือ “กิเลสคน” และ”หลุมดำของระบบราชการ” กรณีซินแสโชกุน คือสิ่งบ่งชี้ยืนยันชัดเจนถึง”หลุมดำ”ขนาดมหึมาของระบบราชการไทย ที่ขาดการเชื่อมโยงฐานข้อมูลข้ามหน่วยราชการ และความล้าสมัยตกยุคของระเบียบกฏเกณฑ์ทางราชการที่ตามไม่ทันอัจฉริยภาพของขบวนการอาชญากรในการกระทำอาชญากรรม ข้อมูลบุคคลของนางสาวพสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ วัย 31 ปี ที่เคยเปลี่ยนชื่อ..เปลี่ยนนามสกุล มาแล้วรวมกันถึง 10 ครั้ง ซึ่งควรอยู่ในสารระบบกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และควรผูกติดอยู่กับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก รวมทั้งข้อมูลการต้องคดีของบุคคลเดียวกันนี้ ที่กระจายตัวอยู่ในหลายท้องที่ทั้งนนทบุรี..สมุทรปราการ..นครราชสีมา ซึ่งก็ควรมีบันทึกไว้ในสารระบบแฟ้มทะเบียนประวัติอาชญากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และควรเชื่อมโยงเป็นชุดข้อมูลบุคคลเดียวกัน สำหรับการใช้ประโยชน์ของหน่วยราชการอื่น เชื่อได้เลยว่าไม่ได้เชื่อมโยงถึงกัน การปิดโอกาสก่ออาชญากรรมของอาชญากร ไม่ว่าจะเป็นกรณีซินแสโชกุน หรือกรณีไหนๆก็ตามที ในเบื้องต้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องเชื่อมฐานข้อมูลตัวบุคลเข้าด้วยกัน ด้วยรหัสบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อปิดโอกาสการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลไปขอจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชนกันแบบไม่จบไม่สิ้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นต้นทางแรกสุดของการรับจดทะเบียน ต้องปรับปรุงระเบียบกฏเกณฑ์การรับจดทะเบียน และตรวจสอบเอกสารประกอบการขอจดทะเบียน ด้วยความละเอียดรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการขอจดทะเบียน ไอ้-อีคนไหนที่มีข้อพิรุธ โดยเหตุจากการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลบ่อย หรือโดยเหตุจากการเคยต้องคดี ควรต้องพิจารณาเรียกเอกสารตรวจสอบเพิ่มเติม หรือปฏิเสธการรับจดทะเบียน เพื่อตัดวงจรอุบาทว์จากระบบ และกำจัดการแพร่ระบาดของเชื้อชั่ว..เชื้อโกง ……………………………………………………………………..