นายกฯกล่าวถึงแผนการปฏิรูปรถไฟที่รัฐบาลนี้กำลังดำเนินการอยู่
ได้แก่ (1) โครงการพัฒนาทางคู่ในระยะ 5 ปี ให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 60% เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้า (2) แก้ปัญหาจุดตัดรถไฟ 1,000
กว่าแห่งทั่วประเทศ โดยการทำสะพานข้าม อุโมงค์ทางลอด และการติดตั้งสัญญาณไฟ และ (3)
โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทางระยะแรกได้แก่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา, กรุงเทพฯ – ระยอง, กรุงเทพฯ – หัวหิน และกรุงเทพฯ – พิษณุโลก –
เชียงใหม่ เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคต่างๆ ของโลก
ขณะที่ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ต้องมองปัญหาทั้งระบบ
และแก้ปัญหาอย่างมียุทธศาสตร์ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว รัฐบาลนี้พยายามดำเนินการ
อาทิ การเชื่อมโยงกรุงเทพฯ – ชานเมือง และหัวเมืองใหญ่ เพื่อลดความแออัดในเขตเมืองกรุงเทพฯ
โดยได้มีการเร่งรัดโครงการก่อสร้างทั้งทางด่วน ทางพิเศษ วงแหวน และรถไฟ ความเร็วสูง
รวมถึงการกระจายที่อยู่อาศัยและธุรกิจไปในชานเมือง วางระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
ETCS ผ่านบัตรร่วม ระหว่างการทางพิเศษฯ (Easy Pass) กับกรมทางหลวง (M-Pass) ให้สามารถเชื่อมโยงกัน
ใช้ร่วมกันได้ ซึ่งจะลดการติดขัดบนทางด่วนและข้างล่างได้ ขณะที่การขนส่งสาธารณะจะเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างเรือโดยสาร–
รถไฟฟ้า – รถประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เดินทาง
ส่วนเรือในคลองแสนแสบและคลองผดุงฯ จะมีการปรับปรุงสถานีเรือให้เป็นมาตรฐานเดียวกับเรือด่วนเจ้าพระยา
พร้อมทั้งปรับภูมิทัศน์ 2 ฝั่งคลอง สนับสนุนเรือโดยสารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และศึกษาการทำเรือแท็กซี่เหมือนในต่างประเทศ
รวมถึงจัดทำโครงการรถไฟฟ้า “โครงสร้างเบา” ราคาถูก ลงทุนน้อย เช่น รถรางทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
นอกจากนี้ยังมีการจัดระเบียบรถตู้โดยสารประจำทางมาตรฐาน
เส้นทางกรุงเทพฯ–จังหวัดต่างๆ
ในระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตรให้ไปใช้พื้นที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ ทั้ง 3
สถานี คือ จตุจักร, สายใต้, เอกมัย
ภายใน ต.ค. ปีนี้ เพื่อลดความแออัดของการจราจร
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการเห็นชอบใน 3
เรื่องสำคัญคือ (1) อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการในกลุ่มต่างๆ จำนวน 34
โครงการ มูลค่าเงินลงทุนเกือบ 2.7 แสนล้านบาท (2) ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
(Medical Hub) เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร” (3) ส่งเสริมเมืองต้นแบบ
“สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อแก้ปัญหาในภาคใต้ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
นายกฯยังได้กล่าวในส่วนของงานด้านงบประมาณว่า สำนักงบประมาณได้ประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐในการดำเนินงานด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
2559 จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2559 มีผลสัมฤทธิ์ในการทำงานร้อยละ 78.02 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ
4.93
นายกรัฐมนตรีปิดท้ายด้วยการเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยสนับสนุนสินค้าเกษตรในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
โดยเดือน ก.ย. นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จับมือกับกระทรวง ICT นำเสนอ “ตลาดเกษตรดิจิทัล” ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีก้าวไกล การเกษตรไทยก้าวหน้า” ระหว่างวันที่ 5 – 25 ก.ย.
เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้าน ICT ในการประยุกต์ใช้สนับสนุนภาคการเกษตรกรรมของประเทศ
ตามแนวทาง “ไทยแลนด์
4.0” รวมถึงกล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชน
เจ้าหน้าที่และข้าราชการทุกฝ่าย ภาคเอกชน
ที่เข้ามาร่วมดำเนินการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางประชารัฐ