นายกรัฐมนตรียังได้อวยพรให้ทีมนักกีฬาไทยที่จะเดินทางไปแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ครั้งที่ 31 ณ ประเทศบราซิล ให้ประสบความสำเร็จและปลอดภัยทุกคน พร้อมแสดงความยินดีกับทีมหุ่นยนต์ iRAP ROBOTและ iSMILE ของคณะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือที่ได้รับรางวัล “ชนะเลิศ”ในการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยระดับโลก ณ เมืองไลพ์ซิกประเทศเยอรมัน
ขณะที่สังคมสื่อออนไลน์กล่าวถึงนายคริสโตเฟอร์ เบญจกุล กับร้านเบเกอรี่ 60 plus bakery by Yamazaki & APCD ซึ่งนายกฯกล่าวว่ามีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจคือ ร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพคนพิการเพื่อให้ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้อย่างมีความสุขในสังคมตามแนวทางประชารัฐ ตามตัวอย่างคือร้านเบเกอรี่นี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และบริษัทไทยยามาซากิ จำกัด พนักงานของร้านมากกว่า 80% เป็นคนพิการทางด้านร่างกาย “ออทิสติก” และคนพิการทางการได้ยิน ได้ทำงานเป็นทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขาย ตามที่ตนถนัดและสมัครใจ สำหรับนายคริสโตเฟอร์ฯทำหน้าที่ผู้จัดการร้านฯเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จนกระทั่งตัวเองต้องประสบอุบัติเหตุ เมื่อได้รับการฟื้นฟูร่างกายจนหายเป็นปกติแล้วก็ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคได้มีความตั้งใจประกอบอาชีพที่มีรายได้สุจริต และทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป
ปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการประมาณ 1.6 ล้านคน โดย 7 แสนกว่าคนหรือเกือบร้อยละ 50 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและอยู่ในวัยทำงาน และมีเพียง 2 แสนกว่าคนเท่านั้นที่ประกอบอาชีพ มีรายได้ อีก 4 แสนกว่าคน ไม่ได้ประกอบอาชีพ จึงขอเชิญชวนภาคธุรกิจเอกชน และทุกภาคส่วนช่วยกันส่งเสริมและเปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้าทำงานมากขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมานายกฯได้มีโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุมเอเชีย – ยุโรป (Asia – Europe Meeting : ASEM) ครั้งที่ 11 ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย สรุปผลการหารือประเทศสมาชิก ASEM จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเอเชีย-ยุโรปในด้านต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อโลกและมวลมนุษยชาติ อาทิ การพัฒนาอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความเชื่อมโยง การรักษาความมั่นคงทางทะเล ในลักษณะ “หนึ่งโลก หนึ่งจุดหมาย”
ปัจจุบันมีหลายเรื่องที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในการที่จะวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในอนาคต อาทิ 1.การจัดระเบียบการถือครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) 2.การลงทะเบียนในระบบ “พร้อมเพย์” เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนใช้บริการโอนเงิน 3.การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมในอนาคต
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งกับประเทศชาติก็คือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ บรรลุสู่เป้าหมายคือ “ความมั่นคง ความมั่งคั่ง และอย่างยั่งยืน” ลดความเหลื่อมล้ำได้ทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลนี้พยายามทำเป็นแนวทางระยะแรกไว้ในช่วงปฏิรูประยะที่ 1 นี้เท่านั้นเอง เพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพิจารณาว่าจะทำต่ออย่างไร
ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมาได้เห็นภาพการร่วมกันทำบุญ ทำกิจกรรมทางศาสนา โดยการใช้จ่ายในเรื่องของการทำบุญทำกุศลเพิ่มมากขึ้นถึง 20 – 30% ทำให้มีเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจระดับล่าง แสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้นไม่ได้มีความแตกแยกกันในจิตใจเลย แต่อาจจะมีความแตกต่างกันทาง “ความคิด” อยู่บ้าง จึงขอให้ทุกคนมี “สติ” ร่วมกัน “ทำเพื่อชาติ” ช่วยกันผ่านวันเวลาที่ยากลำบากของประเทศไทยไปให้ได้พร้อมๆ กัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง