“ลุงตู่” ปลื้ม ขีดความสามารถไทย ไม่ใช่มาจาก “ปาฏิหาริย์”

“ลุงตู่” ปลื้ม ขีดความสามารถไทย ไม่ใช่มาจาก “ปาฏิหาริย์”


 อีกเรื่องหนึ่งก็คือในสัปดาห์หน้าจะเป็นวันสำคัญสำหรับพี่น้องชาวมุสลิมจะเข้าสู่การถือศีลอด ในเดือนรอมฎอน ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1437 ก็ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ ด้วยความจริงใจ โดยขออำนวยอวยพรให้ทุกคน สามารถบำเพ็ญกุศล ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ได้บรรลุผลสำเร็จ  และขอให้ผลของการบำเพ็ญตน  ส่งเสริมให้ทุกคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ ความเข้มแข็ง ความปลอดภัย และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งอันพึงปรารถนาโดยทั่วกัน 

                 และในช่วงเวลาดังกล่าวได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งพลเรือน – ตำรวจ – ทหาร ได้ทุ่มเทศักยภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัย พี่น้องประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดียิ่ง และขอให้ประชาชนเฝ้าระวังตนเองด้วย เพื่อสร้างบรรยากาศสันติสุขในเดือนรอมฎอน และดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย

               สำหรับการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสถาบันการจัดอันดับนานาชาติ หรือ IMD ในปีก่อนห้านั้น ไทยได้อันดับที่ 30 ในปัจจุบันไทยเลื่อนขึ้นมา 2 อันดับ เป็นอันดับที่ 28 ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆ ใน 5 ประเทศ มีประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับการปรับอันดับสูงขึ้น ก็น่าภูมิใจ  ถึงแม้เศรษฐกิจทั้งโลกจะผันผวน ชะลอตัว แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จในการที่จะสร้างเศรษฐกิจระดับชาติ ระดับประเทศขึ้นมาเพื่อจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายในที่เราทำอยู่

              เรื่องต่อมาเป็นเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศ และภาคเอกชนภายในประเทศจะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสมดุลกันระหว่างต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ขณะเดียวกันจะต้องช่วยการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ที่เป็นเหมือนรากแก้ว ก็คือประชาชน รัฐบาลก็ต้องแก้ไขให้ความสำคัญเรื่องค่าครองชีพ  เงินเดือนเท่านี้ ผลผลิตก็ราคาตกต่ำต้องทำยังไง ก็ไปดูค่าครองชีพ 

                     และในส่วนของการลงทุนภายนอกประเทศ จะต้องมองในภาพรวมจากสถิติการลงทุนของบีโอไอ ซึ่งสถิติการลงทุนรวมมีการขยายตัวร้อยละ 4.7 การลงทุนของต่างประเทศมีเสถียรภาพ โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนนั้นเขาจะมองเรื่องถึงอนาคตว่าจะยั่งยืนหรือไม่ ไม่ได้ลงทุนเพื่อปีนี้ แต่ลงทุนปีนี้เพื่อ 20 ปีข้างหน้า และคิดต่อไป  50 ปีข้างหน้า และจะย้ายฐานการผลิตหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ สถิติขณะนี้ดีขึ้น  ซึ่งจะเกิดการลงทุนหรือไม่นั้นก็ต่อเมื่อมีการลงทุนจริง มีการตอกเสาเข็มต้นแรก และการผลิตสินค้าออกมาชิ้นแรก จะเกิดสถิติที่สูงขึ้น

                       ขณะที่เศรษฐกิจโลกปัจจุบันมีความผันผวนตลอดเวลา โดยเศรษฐกิจมหาอำนาจ เศรษฐกิจอเมริกา ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส กลุ่มประเทศยูโรโซนขยายตัวร้อยละ 1.6  ญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างช้าๆ  จีน ชะลอตัวลง สู่การขยายตัวต่ำสุดในรอบ 7 ปี   กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (สิงคโปร์ – เกาหลีใต้ – ฮ่องกง) และอาเซียน เศรษฐกิจหดตัวต่อเนื่อง ฉะนั้นอย่ามองว่ารัฐบาลไทย คสช.ทำให้เศรษฐกิจตก ตัวเลขประเทศไทยมีลดแบบแปรผัน  ขณะที่ภาพรวมอาจจะขึ้นน้อยหน่อย วันหน้าอาจจะลดไปอีกหน่อย มันก็แล้วแต่สถานการณ์ภายนอกด้วย ฉะนั้นวันนี้จะต้องเปิดตลาดใหม่  หรือ หมู่เกาะ ทางด้านอินโดนีเซีย ทางด้านอื่นบ้าง ไปสร้างตลาดพรีเมี่ยมที่มีราคาสูง  หาตลาดเล็กๆดูบ้าง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เช่นข้าวอินทรีย์ แทนที่จะขายข้าวหอมมะลิอย่างเดียว

                       โดยเฉพาะเรื่องข้าวขาวจะต้องมีคุณภาพ มีมาตรฐานที่ดีเพื่อสร้างเอกลักษณ์มาตรฐานพันธุ์ข้าวของไทยที่เรามีเป็นร้อยชนิด ซึ่งก่อนหน้านี้สมาคมชาวนา 300 กว่าคนจากทั่วประเทศ ได้ชื่นชมการทำงานของรัฐบาล  โดยมีหลายประเด็นที่ไม่เข้าใจกัน ได้มีการอธิบาย เช่นเรื่องการให้ความรู้  ศูนย์การเรียนรู้ของเกษตร 882 ศูนย์ ให้ความรู้ ศูนย์มหาดไทย 2,000 กว่าศูนย์ ศูนย์ของเทคโนโลยีชุมชนของไอซีที เพื่อทำการตลาด เช่นที่บุรีรัมย์ทำ รายได้ของเกษตรกรชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขายของตรง อยากไปซื้อข้าว ซื้อปุ๋ย สามารถไปซื้อได้เลย แต่ก็ต้องมีการรับรองมาตรฐานให้สูงขึ้น และไม่มีปลอมปน  โดยต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยเสริมด้วย

                 และเรื่องของแหล่งก๊าซธรรมชาติ ในอ่าวไทย ที่จะหมดสัมปทานในช่วงปี 2565 – 2566   แหล่งบงกช –เอราวัณ  ซึ่งก็เป็นแหล่งก๊าซที่สำคัญในประเทศ แต่ปริมาณไม่มากนัก ซึ่งจะสามารถใช้ก๊าซได้อีกไม่กี่ปี ในระหว่างนี้ใช้อยู่ทุกวัน ถ้าหมดสัมปทานไปแล้ว และไม่มีการทำต่อ และไม่มีคนทำต่อ สัมปทานเปิดไม่ได้ ประมูลไม่ได้ ขุดเจาะเองไม่ได้ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือขุดเจาะ เมื่อบริษัทเอกชนหมดสัญญาสัมปทานและมีการไม่เขาออกไป ต้องบอกว่าเราไล่ไม่ได้ ประเทศไทยไม่เข้มแข็งพอในส่วนตรงนี้  และสำหรับกรณีที่หลายคนเสนอให้ทำวิธีอื่น  เช่นการร่าง พรบ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการเริ่มร่าง พรบ. ซึ่งหากพรบ.พร้อมแต่คนไม่พร้อมเครื่องมือไม่พร้อมจะต้องทำอย่างไร ซึ่งระหว่างนั้นอาจทำอะไรไม่ได้เลย  ซึ่งระหว่างการเปิดสัมปทานใหม่ ประเทศไทยอาจจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติที่หายไปประมาณ 2 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ   ทั้งนี้หากเกิดปัญหาขึ้น ซื้อก๊าซแพงขึ้น ผมก็ขอให้ คปพ. กรุณามารับผิดชอบด้วย 

               สำหรับเรื่องปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น ขณะนี้ลดลงไปได้เยอะ  โดยเฉพาะเรื่องทุจริตต่อไปนี้มีทั้งของรัฐ มีทั้งองค์กรอิสระ มีทั้ง คตร. มีทั้ง พรบ. อำนวยความสะดวก  และมีองค์กรภาคีต่อต้านคอรัปชั่นของภาคเอกชนเข้าไปช่วยตรวจสอบกัน