สนธิรัตน์เสียดายเวลาน้อย รับมีหลายโปรเจคอยากสานต่อ

สนธิรัตน์เสียดายเวลาน้อย รับมีหลายโปรเจคอยากสานต่อ


กระทรวงพาณิชย์ วันที่ 29 มกราคม 2562 – นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ประชุมผู้บริหารกระทรวงและข้าราชการประจำเป็นวาระสุดท้าย หลังจากนั้นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์พร้อมสื่อมวลชนแห่มอบดอกกุหลาบให้กำลังใจอย่างชื่นมื่น เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายที่นายสนธิรัตน์จะทำหน้าที่รมว.พาณิชย์ ก่อนจะไปลุยงานการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มตัว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การลาออกครั้งนี้ ตนถือเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการเมืองไทย เพราะไม่เคยมีรัฐมนตรีคนไหนหรือรัฐบาลไหนลาออกหลังจากที่พระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งประกาศออกมา ที่ผ่านมาก็จะเป็นรัฐมนตรีรักษาการ สำหรับตนต้องการทำงานการเมืองเต็มตัวไม่อยากเบียดบังเวลาราชการ จึงลาออกโดยใช้เหตุผลด้านความรับผิดชอบในการตัดสินใจ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางการเมือง ซึ่งในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ลำบากใจ เพราะยังติดค้างภาระหลายอย่างที่ต้องขับเคลื่อนให้ลุล่วง ไม่อยากทิ้งเป็นภาระ ส่วนเรื่องการเมืองเป็นเรื่องรองจึงต้องการเร่งรัดงานต่างๆ ก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น e-commerce จะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งจะช่วยสร้างศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมผลักดันเป็นโมเดลแก้ความยากจน ถือเป็นงานสำคัญได้ฝากให้ผู้บริหารของกระทรวงสานต่อ

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน คือ การยกระดับร้านค้าปลีก ร้านโชวห่วย มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ให้อยู่รอดอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้นจากการเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐ รวมไปถึงเรื่องที่ต้องสู้กันต่อ อย่างการประกาศสินค้ายาเป็นสินค้าควบคุมเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการตั้งคณะทำงานที่จะประชุมในวันที่ 31 มกราคมนี้

“เรื่องที่ลำบากใจที่สุด คือเรื่องสิทธิบัตรกัญชาที่ถือว่าเป็นเรื่องซับซ้อน และถูกกล่าวหาว่ามีนอกมีในกับเอกชน จึงต้องทำงานด้วยความอดทน ทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยสามารถใช้พืชกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคตได้ ซึ่งเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผานมา ก็มีมาตรา 44 ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาออกมา ที่ผ่านมาการดำเนินงานของกระทรวงก็อาจไม่ทันใจต่อผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้อง เพราะว่าต้องทำงานอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง” นายสนธิรัตน์ กล่าวย้ำ

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับ 2 ปีในการเป็นรัฐมนตรีช่วย และ 1 ปีของการเป็นรมว.พาณิชย์ ก็ได้ให้ความสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจฐานราก และยังเป็นผู้เริ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงสู่ร้านโชห่วยไปสู่สินค้าชุมชนซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่มีความเป็นรูปธรรมมากที่สุดและหวังว่าจะดำเนินการต่อไป

สำหรับเรื่องผลไม้ ได้มีการผลักดันนโยบาย “มหานครผลไม้ของโลก” อย่างทุเรียนที่สามารถส่งออกไปได้ถึงแสนลูกภายในเวลาเพียง 1 นาที และด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ได้มุ่งเน้นแก้ปัญหาจากฐานรากไม่ได้เน้นเพียงแค่ดันราคาให้สูงขึ้น อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น เรื่องข้าวที่มีมาตรการชะลอขาย มีแผนข้าวครบวงจร รวมทั้งสะสางปัญหาหลายอย่างจนขายข้าวได้หมดสต๊อก อันดับการส่งออกข้าวก็ดีขึ้น ราคาข้าวหอมมะลิอยู่ในเกณฑ์ที่เกษตรกรชาวนาพอใจมาก

“พืชเกษตรอย่างมันสำปะหลังและข้าวโพดที่เป็นปัญหามาหลายปีก็ได้ดำเนินการแก้ไข ปัจจุบันราคาข้าวโพดสูงถึง 9 – 10 บาท รวมทั้งราคามันสำปะหลังก็ถือว่าเป็นปีที่ดีมากอยู่ที่ 2.50 บาท หากยกระดับการป้องกันโรคใบด่างได้ก็อาจจะขึ้นไปที่ 3 บาทได้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดจากการบริหารจัดการแบบการตลาดนำการผลิต ให้ตรงความต้องการของตลาด ความจริงแล้วผมยังมีแผนในการปฏิรูปการเกษตรแบบครบวงจร แต่เสียดายที่เหลือเวลาทำงานน้อยเกินไป ถ้ามีโอกาสจะขอสานต่อในนามพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสานต่อนโยบายที่วางไว้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรตนเชื่อว่า ไม่ว่าใครได้เป็นรัฐบาลก็จะสานต่อนโยบายดีๆเหล่านี้ได้ทันที” นายสนธิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย 

ข่าวต่อไป : คนฝากเงินเอาไง ? แบงก์ จ่อเก็บค่าถอนเงิน ทั้ง ATM–หน้าเคาน์เตอร์