ปั๊มผลงานขับเคลื่อนศก.รับวิกฤติโลก

ปั๊มผลงานขับเคลื่อนศก.รับวิกฤติโลก


                ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
กล่าวว่าการขับเคลื่อนการใช้จ่ายของภาครัฐตามโครงการต่าง ๆ ถือว่ามีความคืบหน้าไปพอสมควร
โดยได้เร่งรัดให้การทำสัญญาจะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้นภายในไตรมาสแรกของปีนี้หรืออย่างช้าไม่เกินครึ่งปีแรก
ทั้งนี้เพื่อให้เม็ดเงินสามารถไหลลงสู่ระบบได้เร็วที่สุด

          “ผมค่อนข้างมั่นใจว่าโครงการทั้งในส่วนของทางหลวงก็ดี
รถไฟทางคู่ หรือการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิจะได้เห็นอย่างแน่นอนในปีนี้ แต่น้ำหนักของเงินจะไปอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นส่วนใหญ่
ขณะเดียวกันจะเร่งรัดโครงการอื่น ๆทั้งโครงการของมหาดไทยให้รีบเร่งขึ้นในไตรมาส
2 เป็นอย่างช้าทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของเงินที่จะลงไปสู่ระบบ”

          รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)ประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว
3.5%นั้น
ว่าตนไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขของ
GDP มากนักสิ่งสำคัญคือโครงการที่ตั้งเป้าไว้ต้องเดินไปข้างหน้าได้ทุกโครงการ
โดยทีมเศรษฐกิจได้เข้ามาช่วยไม่ให้เศรษฐกิจทรุดต่ำไปอีกและพยายามประคองให้ผ่านพ้นช่วงที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีไปให้ได้อย่างปลอดภัยพร้อมกับวางรากฐานที่เข้มแข็งไว้
และเรายังได้เตรียมตัวมาพอสมควรจึงไม่อยากให้ตื่นตระหนกตกใจไปกับเศรษฐกิจโลก

          นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงโครงการรถไฟไทย
– จีนว่าในวันที่
28 ม.ค.นี้นายอภิศักดิ์
ตันตัวรวงศ์ รมว.คลัง และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนในส่วนประเด็นที่ยังค้างอยู่สำหรับโครงการลงทุนก่อสร้างรถไฟ
สายหนองคาย-กรุงเทพฯ
โดยยืนยันว่าจะมีการร่วมลงทุนระหว่างไทยกับจีนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

          “รถไฟหนองคาย-กรุงเทพฯเป็นเส้นที่เราจะทำกับจีนแน่นอน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงฉะนั้นเราต้องการจะสรุปข้อที่ยังแตกต่างอยู่ให้เร็วเพื่อที่จะได้เริ่มต้นโครงการกันได้เร็ว”
ดร.สมคิด กล่าว

          ด้านนายอภิศักดิ์ กล่าวว่าส่วนที่มีความคืบหน้าของโครงการภาครัฐ
คือการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการของกระทรวงคมนาคมมีการประเมินไว้ว่าปีนี้จะมีโครงการที่สามารถเซ็นสัญญาได้กว่า
900,000 ล้านบาท โดยในส่วนของโครงการที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีก่อน
ทั้งทางหลวง รถไฟทางคู่ สนามบินสุวรรณภูมิ และท่าเรือแหลมฉบังทั้งหมดนั้นคาดว่าปีนี้จะสามารถเบิกเงินงบประมาณได้ราว
66,800 ล้านบาท ซึ่งจะเติมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ
แต่ทั้งนี้ยังไม่รวมโครงการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ที่ครม.มีมติอนุมัติไป
15,000 ล้านบาทเมื่อสัปดาห์ก่อน
และโครงการลงทุนของหน่วยงานอื่น ๆ

สำหรับการลงทุนในส่วนของภาคเอกชนนั้น
ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นโดยการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนผ่านบีโอไอไปแล้วนั้น
มีการประเมินว่าจะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนภายในปีนี้ถึง
700,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 200,000 ล้านบาท
จากปกติที่ภาคเอกชนมีการลงทุนในแต่ละปีประมาณ
500,000 ล้านบาท
ซึ่งจะเป็นตัวเสริมทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้มากขึ้น

          นอกจากนี้ ที่ประชุมฯยังได้มีการหารือถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม
ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าในการเบิกจ่ายค่อนข้างดี
โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กที่วงเงินไม่เกิน
1 ล้านบาท
ที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วถึงกว่า
90%

                นั่นคือภาพบรรยากาศการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
รวมถึงการติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนที่เกิดขึ้น
จากการเร่งรัดติดตามของรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ซึ่งทุกภาคส่วนต่างฝากความหวัง และเอาใจช่วยรัฐบาลเพราะอยากจะเห็นเศรษฐกิจไทยกับมาเติบโตอีกครั้ง