“สมคิด”ย้ำ” “ไทยยังเนื้อหอม พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาเซียน (ตอนที่ 1)

“สมคิด”ย้ำ” “ไทยยังเนื้อหอม พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาเซียน (ตอนที่ 1)


“สมคิด”ย้ำ” “ไทยยังเนื้อหอม
พร้อมเดินหน้าสู่ศูนย์กลางอาเซียน  (ตอนที่
1)

“ผมดีใจมากเลยว่าผมได้ยินนักธุรกิจที่คุมหอการค้าทั้งหมดของประเทศนี่ให้สัญญาเพื่อปฏิญญาอุดรว่าจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้โตให้ได้
4
% ในปีหน้า แปลว่าขณะนี้ประเทศไทยนั้นกลับมามีเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง”

 

บรรยากาศงานกาลาดินเนอร์ซึ่งจัดขึ้นโดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
(วปอ.) รุ่น 2552 ที่มี “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม
เป็นประธาน
ในช่วงค่ำคืนของวันที่ 2 ธ.ค. ณ ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมเซนทาราแกรนด์
แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์
ว่ากันว่านอกจากแขกเหรื่อทั้งที่เป็นนักศึกษาวปอ.และบรรดาทูตานุทูตจะได้ลิ้มรสอาหารดี
ดนตรีไพเราะแล้ว
ที่ถือเป็นสุดยอดของการจัดงานในวันนั้นเห็นจะเป็นการได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากขุนพลเศรษฐกิจในรัฐบาล
“พล.อ.ประยุทธ์” อย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ภายใต้หัวข้อที่ว่า “รุก –
รับอย่างไรให้เศรษฐกิจไทย…..สู้ได้ในเวทีโลก”ถือเป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษและมีความหมายยิ่งเพราะปาฐกถาในวันนั้นล้วนเต็มไปด้วยสาระที่น่าสนใจสมกับชื่อหัวข้อที่ตั้งขึ้นอย่างแท้จริง
ส่วนรายละเอียดของคำปาฐกถาจะเป็นเช่นไรต้องติดตาม
  

                ท่านปลัดกระทรวงกลาโหม
ท่านคณะทูตานุทูต ท่านคณะกรรมการจัดงานและแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน
ต้องขอขอบพระคุณที่ให้เกียรติเชิญมาร่วมงานในวันนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2
ที่ผมมีโอกาสได้กลับมาทำงานการเมือง ผมเคยกล่าวกับเพื่อน
ๆว่าปกติแล้วคนที่มีโอกาสกลับมาทำการเมืองนี่ส่วนใหญ่ก็ภายในเวลาใกล้เคียงกัน
แต่สำหรับผมนี่มันเว้นไปประมาณ 10 ปีถึงจะกลับมาใหม่ ก็บอกเพื่อน
ๆว่าคงเป็นเพราะว่าในสมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้น
ผมจำได้ว่าตอนที่ไปสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อ ผมได้ไปกราบอนุสาวรีย์ของเสด็จกรมหลวงชุมพรฯตรงข้ามก.พ.ว่า
ถ้าลูกช้างมีโอกาสได้ร่ำเรียนต่างประเทศสอบชิงทุนได้เพราะลูกช้างไม่ค่อยมีตังค์อยู่แล้วที่บ้านก็อยากจะเรียนต่อ
ถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนกลับมาก็สัญญาว่าจะรับใช้บ้านเมืองเต็มที่นะครับ
วันนั้นผมเข้าใจว่าผมคงอธิษฐานดังไปหน่อย ท่านก็เลยให้ผมมาสองรอบ
แต่รอบที่สองนี้มาในขณะที่ผมอายุเริ่มเกินเลขหก
กำลังวังชาก็น้อยลงไปแต่งานมันหนักเท่าเดิมนะครับ
ก็จะพยายามทำงานเพื่อให้บ้านเมืองมันดีขึ้นนะครับ

                หัวข้อในวันนี้ที่ตั้งมานี่พูดยากนะครับ
ที่พูดยากเพราะว่าต้องมาบรรยายต่อหน้าทูตานุทูตจากหลายประเทศ ทั้งอเมริกา จีน
รัสเซีย อังกฤษ
ฉะนั้นการบรรยายต้องระมัดระวังมากไม่เช่นนั้นจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ในขณะเดียวกันหัวข้อก็บอกว่าจะรุกจะรับอย่างไรเศรษฐกิจไทยถึงจะไปโลดได้
อันนี้บางทีมันก็เป็นความลับแต่มาพูดในท่ามกลางของทูตานุทูต ความลับมันก็ต้องเปิดหมดนะครับ
ฉะนั้นหัวข้อนี้พูดลำบากนิดแต่ผมก็คิดว่าผมมีแต่เพื่อนนะครับ
ทูตานุทูตทั้งหลายก็เป็นเพื่อนของผม วันนี้ก็เพิ่งจะพบกับทูตอังกฤษ
วานซืนก็พบกับทูตรัสเซีย พบทูตจีนนะครับ
ฉะนั้นระหว่างเรานั้นไม่มีความลับระหว่างกัน

                ท่านผู้มีเกียรติครับผมเพิ่งกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น
ท่านนายกฯมีบัญชาส่งให้ผมไปด้วยภารกิจ 2 ประการ ประการที่ 1
ก็คือไปร่วมประชุมสองฝ่ายซึ่งญี่ปุ่นไม่เคยจัดให้ใครมาก่อน
ปกติแล้วการพบปะผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นนั้นจะเป็นลักษณะกระทรวงต่อกระทรวงหรือรองนายกฯกับรองนายกฯ
รัฐมนตรีกับรัฐมนตรีแต่ครั้งนี้ผมได้บอกกับทางผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นว่าการประชุมในลักษณะหุ้นส่วนเศรษฐกิจนี่มันจะต้องไม่ใช่แค่พูดเรื่องการค้าหรือการลงทุน
แต่มันจะต้องเป็นการคุยกันในหลาย
ๆมิติของความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน
ฉะนั้นการประชุมที่จะเกิดผลประโยชน์สูงสุดนั้นควรอย่างยิ่งที่จะเป็นการประชุมร่วมโดยที่มีรัฐมนตรีหลาย
ๆ คนอยู่ด้วยกัน จะได้พูดจาพร้อม ๆ กันมีอะไรจะได้หารือร่วมกัน
คำขอร้องของผมนั้นได้ผลนะครับ
ครั้งนี้ญี่ปุ่นจัดให้เป็นพิเศษมีเลขาฯครม.เป็นประธานมีรัฐมนตรีที่เข้าร่วมอยู่ประมาณ
3-4 ท่านแล้วก็ได้มีโอกาสไปพบปะกับท่านนายกรัฐมนตรีอาเบะ
การประชุมทั้งหมดนี้นี่ผมอยากจะกราบเรียนว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากเพราะว่าญี่ปุ่นนั้นก็ยังแสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่กับประเทศไทย
การลงทุนของญี่ปุ่นนั้นสูงถึง 40
% ของการลงทุนรวมของประเทศทั้งหมด
ฉะนั้นการที่ได้รับการตอบสนองจากญี่ปุ่นดีเท่าที่ควรนี่ผมอยากจะเรียนได้เลยว่ามันสร้างความมั่นใจให้กับเรามากว่าถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมามันจะมีเหตุการณ์เกิดในเมืองไทยหลาย
ๆ อย่างก็ตาม แต่ว่าประเทศไทยนั้นยังมีคุณค่ายังมีความสำคัญที่ไม่ได้ลดหย่อนไปเลย

ภารกิจที่
2 ที่ผมไปนั้นนี่คือไปบอกเล่าให้กับนักลงทุนของญี่ปุ่นฟัง
ผมได้มีโอกาพบปะกับบริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นนี่ประมาณ 80 ถึง 100
บริษัทและคนที่มานั่งพูดคุยกันนั้นเป็นระดับเพรสซิเดนท์หรือแชร์แมนของบริษัททั้งสิ้น
ได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นซึงกันและกัน ได้มีการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แล้วก็ได้มีโอกาสไปบรรยายให้กับนักลงทุนประมาณเกือบพันคนซึ่งเป็นเน็ตเวิร์คที่ขอกับบีโอไอ
ฉะนั้นการได้ไปในครั้งนี้ผมถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าความพยายามของฯพณฯนายกรัฐมนตรีที่พยายามบอกเล่าให้ต่างประเทศฟังว่าประเทศไทยนั้นเป็นอย่างไร
เรามีปัญหาอะไร ทำไมถึงต้องมีการปฏิวัติ ทำไมถึงจะต้องมีรัฐบาลระหว่างกลาง
สิ่งเหล่านี้ทางการญี่ปุ่นเข้าใจดีและไม่เคยถามแม้แต่คำเดียวว่าทำไมคุณถึงต้องปฏิวัติ
เขาถามคำเดียวว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ แล้วระยะเวลาจากวันนี้ถึงวันนั้นเราจะทำอะไร
เพราะเขามีความเชื่อใจในคนไทยว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่นิยมระบอบประชาธิปไตย
เราไม่มีระบอบอื่น
แต่ในบางครั้งประชาธิปไตยนั้นอาจจะต้องสะดุดไปบ้างเพราะว่าถ้าหากดำเนินปกติต่อไปแล้วสังคมอยู่ไม่ได้
แล้วอย่างน้อยที่สุดญี่ปุ่นเข้าใจ แล้วผมก็หวังอย่างยิ่งว่าประเทศอื่น
ๆก็จะเข้าใจด้วยครับ

หลังจากที่ประชุมเสร็จแล้วเดินทางกลับมา
วันรุ่งขึ้นผมบินไปต่อที่จ.อุดรธานีในงานสัมมนาของหอการค้าทั่วประเทศ
ผมดีใจมากเลยว่าผมได้ยินนักธุรกิจที่คุมหอการค้าทั้งหมดของประเทศนี่ให้สัญญาเพื่อปฏิญญาอุดรว่าจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้โตให้ได้
4
%
ในปีหน้า แปลว่าขณะนี้ประเทศไทยนั้นกลับมามีเอกภาพอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีนะครับ

เรื่องราวของปาฐกถายังไม่จบ
ต้องอดใจไว้รอติดตามกันต่อในตอนหน้า
รับประกันว่าเรื่องราวที่ปรากฏถือเป็นสุดยอมแห่งปาฐกถาชิ้นสำคัญที่น่าสนใจและติดตามอย่างแน่นอน

ที่มา
:
thaiquote