กนง.หั่นอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.50% ต่อปี ชี้ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว

กนง.หั่นอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.50% ต่อปี ชี้ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว


กนง.เลือกลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี ส่งผลภาพรวมอัตราดอกเบี้ยเมืองไทยอยู่ที่ 0.50% ต่อปี มีผลบังคับใช้ทันที หวังพยุงเศรษฐกิจชาติพ้นจากโควิด-19

 

วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 – นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. โดยมีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 %ต่อปี จากเดิมที่ระดับ 0.75 % เป็น0.50 % ต่อปี โดยให้มีผลบังคับใช้ในทันที

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวมาจากการประเมินเศรษฐกิจประเทศในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มหดตัวกว่าประมาณการเดิมที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งจากเดิมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะติดลบ 5.3% จากผลกระทบของการระบาดไวรัสโควิด -19 อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ทำให้เป็นค่าที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

นายทิตนันทิ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบกว่าที่ประเมินไว้ เสถียรภาพระบบการเงินเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ กนง.เห็นว่า ให้ควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้

โดยเฉพาะครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้เกิดผลในวงกว้างมากขึ้น และเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ได้ออกมาก่อนหน้า เพื่อให้สภาพคล่องกระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้เร็วขึ้น

สำหรับประเด็นที่ กนง.จะติดตามต่อไป คือ ความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบจากการทรุดตัวเองเศรษฐกิจต่างประเทศและการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งผลจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและโอกาสที่การระบาดในประเทศอาจกลับมา รวมทั้งติดตามประสิทธิผลของมาตรการการคลังและมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ รวมทั้งการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด

ทั้งนี้ หลัง จากที่ ธปท. ออกมาตรการดูแลเสถียรภาพตลาดการเงิน รวมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) ตลาดตราสารหนี้กลับมาทำหน้าที่ได้เป็นปกติมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชน

ทั้งนี้ กนง.มีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่อาจกลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกัน ให้ติดตามความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนหลังมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องของภาครัฐทยอยสิ้นสุดลงที่อาจจะมีเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงต่อสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ ทำให้ต้องติดตามและเร่งการปรับโครงสร้างหนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดย กนง.พร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น

ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติการณ์ โดยให้มีผลทันที โดยการตัดสินใจครั้งนี้ มาจากการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวกว่าประมาณการเดิมซึ่งประมาณการไว้ว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะติดลบ 5.3% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่หดตัวรุนแรงกว่าที่คาดและผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดทั่วโลก

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบกว่าที่ประเมินไว้ เสถียรภาพระบบการเงินเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ กนง.เห็นว่า ให้ควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้เกิดผลในวงกว้างมากขึ้น และเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ได้ออกมาก่อนหน้า เพื่อให้สภาพคล่องกระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้เร็วขึ้น

สำหรับประเด็นที่ กนง.จะติดตามต่อไป คือ ความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบจากการทรุดตัวองเศรษฐกิจต่างประเทศและการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งผลจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและโอกาสที่การระบาดในประเทศอาจกลับมา รวมทั้งติดตามประสิทธิผลของมาตรการการคลังและมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ รวมทั้งการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด

ทั้งนี้ หลัง จากที่ ธปท. ออกมาตรการดูแลเสถียรภาพตลาดการเงิน รวมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) ตลาดตราสารหนี้กลับมาทำหน้าที่ได้เป็นปกติมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชน

ทั้งนี้ กนง.มีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่อาจกลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกัน ให้ติดตามความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนหลังมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องของภาครัฐทยอยสิ้นสุดลงที่อาจจะมีเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงต่อสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ ทำให้ต้องติดตามและเร่งการปรับโครงสร้างหนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดย กนง.พร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น

 

ข่าวที่น่าสนใจ