สำนักบริหารหนี้ฯ แจง 6 คำถามถึงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของรัฐเพื่อช่วยคนไทยสู้โควิด-19 ยืนยัน นำมาใช้แล้ว 1.7 แสนล้านบาท เยียวยาประชาชนและเกษตรกร ชี้หากกู้ครบ หนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่หากเศรษฐกิจดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องกู้หมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Patricia Mongkhonvanit” โดยมีข้อความเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจเรื่อง พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ที่ใช้เพื่อการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุว่า “ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งขอให้เขียนสรุปเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.ก. เงินกู้ แบบให้อ่านง่าย ๆ ไหน ๆ ก็เคยให้สัมภาษณ์ตามสื่อมาหมดแล้ว ก็ถือว่าน่าจะลงในนี้ได้ เผื่อเป็นความรู้และสร้างความเข้าใจให้คนที่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับ พ.ร.ก. เงินกู้ที่ออกมา อดทนอ่านหน่อยนะคะ ยาวนิดนึง และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ”

ทั้งนี้ สิ่งที่นางแพตริเซียได้อธิบายเอาไว้ พบว่าเป็นคำถามที่คนถามมากที่สุดรวม 6 ข้อเกี่ยวกับพ.ร.ก.เงินกู้จำนวน 1 ล้านล้านบาท ไม่ใช่เงินกู้วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งรายละเอียดของคำถาม-คำตอบทั้ง 6 ข้อ มีดังนี้
1. รัฐบาลกู้ 1.9 ล้านล้าน จริงเหรอ ?
“ไม่จริงค่ะ พ.ร.ก. ที่รัฐบาลออกมา มีอยู่ 3 ฉบับ แบ่งเป็น
1. พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้าน
2. พ.ร.ก. Softloan 500,000 ล้าน”
3. พ.ร.ก. Bond Stabilization Fund BSF 400,000 ล้าน
“แม้ว่าถ้าบวกกันจะมีมูลค่ารวม 1.9 ล้านล้าน แต่มีเพียงพ.
ร.ก. ฉบับที่ 1 ฉบับเดียวเท่านั้นที่จะใช้เงินกู้ ส่วนอีก 2 ฉบับ เป็นการใช้สภาพคล่องของ ธปท.ค่ะ ดังนั้น การบอกว่ารัฐบาลกู้เงิน 1.9 ล้านล้าน เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องค่ะ”
2. รัฐบาลจะกู้เงินจากที่ไหน ?
“รัฐบาลมีเครื่องมือในการกู้เงินทั้งเครื่องมือระยะยาว เช่น การขายพันธบัตร ตั้งแต่อายุ 5-50 ปีให้นักลงทุนสถาบัน การขายพันธบัตรออมทรัพย์ให้ประชาชน การกู้จากองค์การระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และเครื่องมือระยะสั้น เช่น การออกตั๋วเงินคลัง การกู้เงินผ่านสถาบันการเงินในรูป PN หรือ Term loan ซึ่งภายใต้ พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านนี้ก็จะกระจายการกู้เงินไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเครื่องมือใดเครื่องมือนึงเป็นการเฉพาะ”
3. รัฐบาลกู้เงินมา 1 ล้านล้านแล้วหรือยัง ?
“ยังค่ะ รัฐบาลจะทยอยกู้เงินตามความต้องการใช้เงิน ซึ่งในขณะนี้มีเพียง 2 โครงการเท่านั้น ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกู้ คือการเยียวยาประชาชน และเกษตรกร ในปัจจุบัน (16 พ.ค. ) ได้ทำการกู้เงินไปแล้ว 170,000 ล้านบาท ผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรออมทรัพย์ เครื่องมืออื่นจะทยอยตามมาค่ะ”
4. จำเป็นต้องกู้ทั้ง 1 ล้านล้านไหม ?
“อาจจะไม่จำเป็นค่ะ ทั้งนี้ จะต้องกู้เป็นจำนวนเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงิน ถ้า COVID ทำให้เศรษฐกิจฟุบนาน งบประมาณปี 2564 ใช้ไม่เพียงพอในการดูแลประชาชนและเศรษฐกิจ ก็อาจจะต้องกู้จนครบจำนวน 1 ล้านล้าน แต่ถ้าพวกเราช่วยกันแล้วคุมโรคอยู่ ทุก ๆ อย่างค่อย ๆ ผ่อนคลาย เศรษฐกิจเริ่มหมุน คนกลับมามีรายได้ เงินงบประมาณ 2564 ดูแลได้อย่างเพียงพอ ก็อาจจะไม่ต้องกู้จนครบ 1 ล้านล้านบาทก็เป็นได้”
5. เมื่อกู้ครบ 1 ล้านล้านบาทแล้ว สภาวะหนี้ของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ?
“จากการประมาณการ หากต้องกู้เงินครบ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 30 กันยายน 2564 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะสามารถกู้ได้ตามพ.ร.ก. ฉบับนี้ คาดว่าหนี้สาธารณะของไทย ณ 30 กันยายน 2564 จะอยู่ที่ 57.96% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ประกาศกำหนด Debt / GDP ไว้ที่ 60%
อย่างไรก็ดี Debt/GDP ที่ระดับ 60% นี้ เป็นระดับหนี้พึงมีในสภาวการณ์เศรษฐกิจที่ปกติ แต่ในสภาวการณ์ที่ไม่ปกติ หากมีความจำเป็นต้องมีเงินเพื่อดูแลประชาชนและเศรษฐกิจเพื่อให้เดินต่อไปได้ และสามารถกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และอาจทำให้หนี้สาธารณะเกินระดับ 60% ไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่โลกจะถล่ม ประเทศจะทลาย ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญเติบโต สัดส่วนดังกล่าวก็จะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
สมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นช่วงที่หนี้สาธารณะสูงที่สุด คือ 59.9% และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นประกอบกับการมีวินัยในเรื่องหนี้ที่ดี ทำให้ในปัจจุบัน หนี้สาธารณะอยู่ในระดับเพียง 41.4% ของ GDP”
6. หนี้ก้อนนี้เมื่อไหร่จะใช้หมด ?
“อายุเฉลี่ยของหนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ที่ 10 ปีกว่าๆ โดยหนี้ที่อายุยาวที่สุดคืออายุ 50 ปี
ทั้งนี้ ในการชำระหนี้ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ไว้ในงบประมาณทุกปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอัตราการชำระหนี้ที่เหมาะสมในแต่ละปี ควรจะจัดสรรงบประมาณไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณเพื่อใช้ในการชำระเงินต้นค่ะ
ดังนั้นการจะตอบว่าประเทศไทยจะชำระหนี้ก้อนนี้หมดเมื่อไหร่ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คงไม่สามารถตอบเป็นจำนวนปีที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจดี ประเทศไทยจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น และได้รับการจัดสรรงบชำระหนี้อย่างเหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดได้เร็วขึ้นค่ะ”

ข่าวที่น่าสนใจ
“คลัง” ชี้! 4 กลุ่ม ยังไม่ได้รับเยียวยา 5,000 ที่ไม่ต้องมาร้องเรียนเอง
ผลสอบ “อธิบดีค้าภายใน” ปมหน้ากากอนามัยจบแล้ว รอ “บิ๊กตู่”ตัดสินชี้ชะตา
