กกร. เสนอ 8 มาตการเร่งกระตุ้น ศก.ปี 2563

กกร. เสนอ 8 มาตการเร่งกระตุ้น ศก.ปี 2563


กกร. คาด เศรษฐกิจไทยปี 63 โตได้ 2.5-3.0% เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.5% เป็นผลจากภาคส่งออกยังฟื้นตัวได้จำกัด ขณะมีปัจจัยเสี่ยงเรื่อง ราคาน้ำมัน และ ผลกระทบภัยแล้งเข้ามาเพิ่ม พร้อม เสนอ 8 แนวทางให้รัฐดำเนินการ เช่น ลดค่าไฟให้เอสเอ็มอี 5 % เป็นเวลา 1 ปี เร่งคืนภาษีVAT ใน 30 วัน ลดเงินประกันสังคมให้ลูกจ้าง-นายจ้าง 50 % นาน 6 เดือน เป็นต้น

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)วันนี้ (8 ม.ค.63) ว่า ที่ประชุมได้ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยการส่งออกหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าและผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้การนำเข้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชนหดตัวเช่นกัน ด้านการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงเช่นกัน แม้มีมาตรการภาครัฐออกมาช่วยพยุงไว้บางส่วน โดยมีเพียงภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากแรงหนุนมาตรการ Visa on Arrivals ทำให้กกร. คาดว่าภาพรวมทั้งปี ในปี 2562 เศรษฐกิจอาจขยายตัวเพียง 2.5%

ส่วนในปี 2563 เศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางหลายปัจจัยกดดันที่ต่อเนื่องมาจากในปี 2562 ไม่ว่าจะเป็น ผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความผันผวนของค่าเงิน ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมใหม่ ได้แก่ ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางจากกรณีสหรัฐฯและอิหร่าน ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจผลักดันให้ราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับสูงต่อเนื่อง และ ภาวะภัยแล้งที่รุนแรงในประเทศ ที่กระทบต่อผลผลิตและกำลังซื้อเกษตรกรแล้ว อาจมีผลให้ราคาอาหารสดปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ทิศทางราคาน้ำมันและราคาอาหารสดที่มีแนวโน้มเร่งขึ้น จะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของทางการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น

ดังนั้น ที่ประชุม กกร. จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งรัดการบังคับใช้และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว และควรเตรียมแผนรับมือฉุกเฉินจากปัญหาภัยแล้งและเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไม่ให้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะไม่เพียงจะมีผลต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่ยังเชื่อมโยงถึงภาคการผลิตและการจ้างงานอีกด้วย

กกร.ยังมีการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2563 โดยประเมินว่า การส่งออกอาจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จำกัดหรือมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัว 2.0% ถึง 0.0% ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2563 อาจขยายตัวได้ประมาณ 2.5-3.0% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.8-1.5% จากคาดการณ์สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่อาจยืนสูงที่ระดับ 70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล เป็นเวลา 6 เดือน

นายกลินท์ กล่าวอีกว่า กกร.เห็นว่า ภาครัฐควรมีนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กกร. เสนอให้ภาครัฐดำเนินการดังนี้

1ลดค่าไฟ ให้เฉพาะธุรกิจ SMEs และบ้านพัก ลงมา 5 % เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด
2 เร่งรัดการคืนภาษี VAT ให้รวดเร็วภายในเวลา 30 วัน
3 ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรใหม่เพื่อการผลิต ที่ประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ลงเหลือ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี
4 ลดการจ่ายเงินประกันสังคมของผู้ประกันสังคม ทั้งลูกจ้าง และนายจ้าง ลง 50 % เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ

5 ลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและค่าการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ล้านบาทเหลือ 0.01 % เป็นระยะเวลา 1 ปี

6 ขุดบ่อกักเก็บน้ำในรูปแบบของแก้มลิงในแต่ละหมู่บ้าน ประมาณ 70,000 หมู่บ้าน เพื่อช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งในระยะยาว โดยใช้แรงงานในท้องถิ่น และ ภาครัฐจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการขุดบ่อได้

7 แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกเหนือจากการพัฒนาเขต EEC เช่น ภาคเหนือ (NEC) จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร และ Creative Economy ภาคอีสาน(NEEC) ศูนย์กลางการท่องเที่ยว อาหาร และ Logistics hub ภาคใต้ (SEC) พัฒนา ให้เป็นเมืองอัจฉริยะและท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล

8 ให้ กกร. เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้น

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

พาไปดู “นาข้าวสีชมพู” หนึ่งเดียวในโลก หนุ่มพิษณุโลกปลูกสำเร็จ