โฆษกรัฐบาล เผยรัฐบาลเดินหน้า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เป็นส่วนสำคัญในการดัน จีดีพีประเทศโตตามเป้า นายกฯย้ำต้องทำทั้ง 4 มิติ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเดินหน้านโยบาย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่า โครงการนี้สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในหลายแง่มุม หนึ่งในนั้น คือ การกรตุ้นการบริโภคที่ช่วยพยุงการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะผลของการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 109,048.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.7 ของ GDP ที่ยังไม่หักอัตราเงินเฟ้อ มีส่วนสำคัญที่ทำให้การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 3 และ 4 ปี 2561 และไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ขยายตัวถึงร้อยละ 5.2 5.4 และ 4.6 ตามลำดับ มากกว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ขยายตัวร้อยละ 3.2, 3.6 และ 2.8 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าการบริโภคภาคเอกชนส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ช่วยให้เศรษฐกิจไม่ทรุดตัวลงมากกว่าที่เป็น
นอกจากนี้ การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ยังทำให้ภาครัฐ มีฐานข้อมูลเชิงลึกเป็นรายบุคคลและพื้นที่ ช่วยให้รัฐจัดหาสวัสดิการแบบถูกฝาถูกตัว ใช้งบประมาณคุ้มค่า ให้สวัสดิการที่ตรงกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อย บรรเทาภาระค่าครองชีพที่จำเป็นของครัวเรือนได้ ใช้สวัสดิการที่ให้ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่มีการรั่วไหล ไม่มีการคอร์รัปชัน ถ้าไม่ใช้เงินไม่หายไปไหน ยังคงอยู่ในกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากด้วย
ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนของผู้มีรายได้น้อยยังเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำว่าต้องทำทั้ง 4 มิติ ได้แก่ 1.การเข้าถึงความจำเป็นขั้นพื้นฐาน 2.การพัฒนาทักษะอาชีพและการศึกษา 3.การหางานให้ทำ และ 4.การแก้ปัญหาหนี้สินทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
วันนี้ขอเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นมิติที่ 2 จากการที่ผู้มีรายได้น้อย 14.5 ล้านคน เข้ามาลงทะเบียนถือครองบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในจำนวนนี้มีผู้สนใจฝึกอาชีพจำนวน 4.2 ล้านคน แต่ด้วยงบประมาณที่มีจำกัดทำให้ 13 หน่วยงาน ที่ช่วยเรื่องการฝึกอาชีพรองรับการฝึกอาชีพให้ได้ 3.1 ล้านคน และจากการติดตามผลพบว่า 1 ล้านคน จาก 3.1 ล้านคน มีรายได้เกินเส้นความยากจน คือ 30,000 บาท/ปี และมีกลุ่มคนมีรายได้เกิน 1 แสนบาท/ปี ถึง 1.1 แสนคน ดังนั้น การแก้ปัญหาความยากจนต้องดำเนินการในทุกมิติ และต้องใช้เวลาไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนเพียงข้ามคืนได้
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
โฆษกรัฐบาล ยืนยัน นายกฯ ไม่ถอดใจลาออก ปม ถวายสัตย์ฯ