“สมคิด”มอบนโยบาย สศช.หลังIMD จัดอันดับศักยภาพในการแข่งขันไทยดีขึ้น ตั้งเป้าให้ขยับขึ้นมาต่ำกว่าอันดับ 20 ในปี 2563 เร่งดันเศรษฐกิจชุมชน กระตุ้นท่องเที่ยวให้ฟื้นตัว ผลักดันเครือข่าย 5 จี
วันนี้ (30 พ.ค. 62)นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมมอบนโบบายผู้บริหาร สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หลังจากผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ IMD ประจำปี 2562 ประเทศไทยอันดับสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 มาอยู่ที่อันดับ 25 นับว่าปรับตัวดีขึ้นใน 3 ด้าน ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลจึงต้องการให้รักษาระดับความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น โดยเฉพาะไทยได้แซงเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่อันดับ 26 แม้ว่าไทยจะแซงหลายประเทศจากผล GDP สูงขึ้น แต่ยอมรับว่าทุกประเทศมีปัญหาการส่งออกเหมือนกันจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ปัญหา ICAO โดนใบแดงเรื่องการบิน และปัญหา IUU ในช่วงที่ผ่านยังแก้ปัญหาได้จนต่างชาติให้การยอมรับ ดังนั้นจึงคาดหวังว่าหากเร่งรัดปฏิรูปหลายด้าน คาดหวังว่า ความสามารถในการแข่งขัน ต้องไม่ต่ำกว่าอันดับ 20 ในปี 63
รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวว่าต้องใช้โอกาสส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน หลังคาดว่าการลงทุนมีโอกาสขยายตัวเพิ่มจากร้อยละ 3.9 เพิ่มเป็นร้อยละ 4.5 การลงทุนภาครัฐมีโอกาสไปได้สูงมาก จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ เพื่อมีส่วนผลักดันให้ขีดความสามารถแข่งขันขยันสูงขึ้นได้ และต้องการให้ สศช.ปรับโครงสร้างขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้กว้างมากขึ้นเพื่อส่งเสริมไปยังกลุ่มภาคเกษตรและการท่องเที่ยว เมื่อเร่งแก้ปัญหาทุกด้านครอบคลุม ยังเชื่อมั่นว่าไทยจะแข่งขันกับสิงคโปร์ได้หลายด้าน โดยต้องการให้ประชุมหารือกับสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงดัชนี จึงอยากให้ช่วยกันประคับประคอง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกหลายด้าน ส่งเสริมการค้าชายแดน ผลักดันการท่องเที่ยว เมื่อรัฐบาลได้ลงทุนรถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ เส้นทางคมนาคมครอบคลุม จะทำให้การเดินทางของคนไทยและต่างชาติ ไปยังแหล่งท่องเที่ยวปลายทางในเมืองรองและเมืองหลักได้คล่องตัวมากขึ้น
นายสมคิด กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนามได้พัฒนาไปเร็วมาก เมื่ออำนาจซื้อส่วนใหญ่เป็นของรายย่อย จึงต้องหาทางส่งเสริมเพิ่มอำนาจซื้อให้กับรายย่อยในต่างจังหวัด ผ่านการสร้างเศรษฐกิจชุมชน ต้องหาทางส่งเสริมให้ชาวบ้าน ชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น เป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลที่ต้องการให้เศรษฐกิจชุมชนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยอมรับว่าการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับในยุคนี้คงต่อต้าน คัดค้านจากสภากันน่าดู จึงขอให้ สศช.เป็นเสาหลักสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจ ต้องส่งสัญญาณให้รัฐบาลต้องรับฟังการทำนโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาลยังต้องการเร่งรัดพัฒนาบุคคลากรคุณภาพ รองรับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC ) ด้วยการดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือในการพัฒนาบุคคลากรใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างรายได้ต่อคน 23,840 บาทต่อเดือน กำชับกระทรวงต่างๆเสนอของบประมาณลงทุนต้องคัดเลือกให้สอดคล้องกับยุทศาสตร์ชาติ ต้องพิจารณาตรวจสอบการลงทุนให้รอบคอบ เพื่อคานอำนาจการใช้งบให้เกิดประสิทธิภาพ
สำหรับการติดตั้งเครือข่ายอินเตอร์ประชารัฐในทุกชุมชน ต้องผลักดันให้สุดทางเพื่อให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ รองรับการค้าขาย ค้นคว้าหาความรู้ การใช้อินเตอร์เน็ตอำนวยความสะดวกทุกด้าน การผลักดันใช้อินเตอร์เน็ต มีความสำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจของไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นับเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหลายประเทศปรับเปลี่ยนไปมากแล้ว จีนได้ประกาศเปลี่ยนประเทศไปสู่ 5 จี ไทยจึงต้องเร่งรัดขับเคลื่อนทุกด้านในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเฉพาะเครือข่าย 5 จี เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช.กล่าวชี้แจงว่า การสร้างเศรษฐกิจภูมิภาคให้มีมูลค่าเพิ่ม พัฒนาสินค้า สร้างมูลค่าทางการตลาด ต้องสื่อสารกับทุกหน่วยงานไปสู่ภาคปฏิบัติ ทั้งการท่องเที่ยวเมืองรอง สำหรับการปรับประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 4 อันดับ เมื่อได้เร่งแก้ไขปรับกฎระเบียบให้ทันสมัยคล่องตัว แต่ต้องเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่ออำนวยความสะดวกกับธุรกิจ และส่งเสริมการใช้ดิจิทัลรองรับให้บริการให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างในทุกด้าน และกำลังผลักดันต่อไปให้เกิดผลอย่างต่อเนื่องและในวงที่กว้างขวางมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจยุคใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับ AI การวางนโยบายเศรษฐกิจจากคนรุ่นใหม่ทำงานอยู่ในต่างประเทศที่มีความรู้จึงอยากกลับมาช่วยบริหารประเทศ
สำหรับการแก้ปัญหาความยากจน เอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ปัญหาได้มากขึ้น เกิดความร่วมแบบประชารัฐได้มากขึ้น เมื่อทุกส่วนร่วนกันจะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนคืบหน้าไปมาก.
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ