กรมการค้าต่างประเทศเผย การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าช่วง 2 เดือนปี 62 มีมูลค่ากว่า 1.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.38% สอดคล้องกับการส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เผยอาเซียนยังคงนำโด่งเป็นตลาดที่ใช้สิทธิ์สูงสุด มั่นใจปีนี้ยอดการใช้สิทธิ์ทะลุ 8 หมื่นล้านเหรียญ โต 9%
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในช่วง 2 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-ก.พ.) มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 11,572.79 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.38% มีอัตราการใช้สิทธิอยู่ที่ร้อยละ 76.25 ของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ทั้งหมด ซึ่งการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ที่เพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการส่งออกในช่วง 2 เดือนปี 2562 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.91% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA มูลค่า 10,776.53 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.52% คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 77.80 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิภายใต้ FTA และมูลค่าการส่งออกภายใต้ GSP มูลค่า 796.26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.60% คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 60.00 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP
ทั้งนี้ หากดูการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ทั้ง 12 ฉบับ ยังไม่รวมความตกลงอาเซียน-ฮ่องกง ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีนี้ พบว่า ตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อาเซียน มูลค่า 4,013.59 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.จีน มูลค่า 2,704.21 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.ญี่ปุ่น มูลค่า 1,407.44 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.ออสเตรเลีย มูลค่า 1,332.96 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5.อินเดีย มูลค่า 696.68 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียม โพลิเมอร์ของเอทิลีน และกุ้งอื่นๆ ไม่แช่แข็ง แต่การใช้สิทธิส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดออสเตรเลียและชิลีลดลง เพราะผู้ประกอบการหันไปส่งออกไปยังตลาดตะวันออกกลางเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการใช้สิทธิไปตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า เวียดนามเพิ่มขึ้น 12.14% สปป.ลาว เพิ่ม 9.27% และกัมพูชา เพิ่ม 9.14% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวียดนามเป็นตลาดที่น่าจับตา และมีศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการไทย ส่วนบรูไน เป็นอีกประเทศที่มีแนวโน้มการใช้สิทธิส่งออกได้เพิ่มขึ้น หลังจากที่ล่าสุดได้มีการเชื่อมโยงระบบ e-Form D ซึ่งจะทำให้การส่งออกทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
นายอดุลย์กล่าวว่า ในส่วนของการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ GSP ทีมีอยู่ 5 ระบบ ประกอบด้วย สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช นอร์เวย์ และญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นได้ยกเลิกการให้สิทธิ GSP ตั้งแต่เม.ย.2562 เป็นต้นไป พบว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP มูลค่า 796.26 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐฯ สัดส่วนมากที่สุด คือ ร้อยละ 96 ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐฯ อยู่ที่ 768.38 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.36% มีอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 70.24 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 1,093.94 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง รถจักรยานยนต์ และเลนส์แว่นตา

“ในปี 2562 กรมฯ ได้ประมาณการเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 81,025 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9% แต่ยังคงต้องจับตามองแนวโน้มการส่งออกของไทยที่คาดว่าอาจจะชะลอตัว เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากภาวะการค้าโลกและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ยังคงมีความผันผวน และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา รวมถึงปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้คำสั่งซื้อชะลอลง แต่กรมฯ ยังมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะยังเติบโตได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มการขยายตัวไปในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และการพัฒนาระบบการให้บริการของกรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง”นายอดุลย์กล่าว
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
