SCGD แกร่งรอบด้าน! ไตรมาส 2/68 กำไรสูงสุดในรอบปีครึ่ง ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและ ESG สู่ผู้นำในภูมิภาค

SCGD แกร่งรอบด้าน! ไตรมาส 2/68 กำไรสูงสุดในรอบปีครึ่ง ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและ ESG สู่ผู้นำในภูมิภาค

SCGD โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 แกร่งเกินคาด กวาดกำไรสูงสุดรอบ 5 ไตรมาส สะท้อนความสำเร็จกลยุทธ์เติบโตยั่งยืน พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นในภาวะเศรษฐกิจผันผวน

บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 ที่แข็งแกร่งอย่างน่าประทับใจ ด้วยความสามารถในการทำกำไรที่พุ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2567 สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางธุรกิจ ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ และวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน

 

 

ผลงานโดดเด่นจากกลยุทธ์ที่แม่นยำและยั่งยืน

ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGD มีผลประกอบการที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจที่น่าพอใจ โดยมีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อนหน้า ตัวเลขเหล่านี้เป็นผลมาจากโครงการลดต้นทุนพลังงาน การเร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจที่ส่งผลให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีอัตราส่วน EBITDA on sales อยู่ที่ร้อยละ 15.2 และอัตรากำไรสุทธิสูงสุดในรอบหลายไตรมาสที่ร้อยละ 4.8 นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2 ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเวียดนาม

 

 

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า “ความสำเร็จในไตรมาสนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของ SCGD ในการปรับตัวเชิงรุกและคว้าโอกาสจากความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกและในประเทศ เราได้เดินหน้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและใช้ 3 กลยุทธ์เข้มข้นที่มุ่งเน้นทั้งประสิทธิภาพ การสร้างมูลค่าเพิ่ม และความยั่งยืน ซึ่งทำให้เรามั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว”

 

 

เจาะลึก 3 กลยุทธ์เข้มข้น ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

  • ปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออกหลัก เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก: SCGD เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศเวียดนามในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกที่สำคัญ ด้วยโครงสร้างต้นทุนการผลิตกระเบื้องที่สามารถแข่งขันเทียบเท่ากับผู้เล่นระดับโลกได้แล้ว ทำให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังได้เร่งเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนกว่า 25% ของกำลังการผลิตรวม เพื่อตอบรับกับความนิยมและความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง มีคุณสมบัติทนทาน สวยงาม และเป็นที่ต้องการของตลาดพรีเมียม การลงทุนในเวียดนามจึงไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเป็นการวางรากฐานการผลิตและซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน รองรับการขยายตัวในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
  • ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เจาะตลาดทุกเซกเมนต์: SCGD มุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยได้ขยายพอร์ตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยอดขายกลุ่ม HVA คิดเป็นสัดส่วนกว่า 37% ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความสำเร็จในการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องในประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดหาสินค้า (Sourcing) และนำเสนอสินค้าและบริการนำเข้าที่มีคุณภาพในราคาและต้นทุนที่แข่งขันได้ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นการเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่งและครบวงจรมากขึ้น
  • มุ่งลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน: SCGD ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินโครงการลดต้นทุนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ:
    • การใช้พลังงานหมุนเวียน: ประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการผลิตกว่า 36 ล้านบาทต่อปี ผ่านโครงการการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลที่แล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่ยังช่วยลดการพึ่งพิงเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างยั่งยืน
    • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 จะช่วยทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต
    • การบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล: ลดต้นทุนการบริหารจัดการด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ผ่านการควบคุมสินค้าคงคลังและการบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้าอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบ Digital มาปรับโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยังช่วยลดต้นทุนรวมได้กว่า 140 ล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและลดการสูญเสียทรัพยากร

 

 

ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ดูแลผู้ถือหุ้น และวิสัยทัศน์ระยะยาว

SCGD ยังคงรักษาฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 38,787 ล้านบาท ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว และยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต

จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท (คิดเป็นเงินรวม 247.5 ล้านบาท) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 การจ่ายเงินปันผลนี้เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ กระแสเงินสดที่มั่นคง และความใส่ใจในการดูแลผู้ถือหุ้นท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน

 

 

 

SCGD ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ AXENT Switzerland เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดสุขภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทได้ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ โดยเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 177 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศรวม 244 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องภายในประเทศไทย เพื่อต่อยอดไปสู่ภูมิภาคอาเซียนในอนาคต บริษัทมียอดขายจากสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องกว่า 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

นายนำพล สรุปปิดท้ายว่า “SCGD มีความมั่นใจอย่างยิ่งในศักยภาพของบริษัทฯ ที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว ด้วยรากฐานธุรกิจที่มั่นคง กลยุทธ์ที่ชัดเจน การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม เพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม