ในขณะที่โลกเรากำลังสูญเสียต้นไม้ถึง 13,000 ล้านต้นต่อปี แต่การปลูกทดแทนกลับน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่หายไป Flash Forest จากแคนาดาได้พัฒนาวิธีการปฏิวัติการปลูกป่าด้วยเทคโนโลยีโดรนที่ทำงานได้เร็วกว่าคนถึง 10 เท่า

วิกฤตของโลกและทางออก
ทุกปีมีคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 51,000 ล้านตันถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเกินความสามารถในการดูดซับตามธรรมชาติของโลก การปลูกต้นไม้จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดในการกักเก็บคาร์บอน แต่วิธีการแบบดั้งเดิมอาจไม่ทันต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระบุว่า เราจำเป็นต้องปลูกป่าเพิ่มขึ้นพื้นที่ 1 พันล้านเฮกตาร์ (ขนาดเท่าประเทศสหรัฐอเมริกา) เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

Flash Forest สตาร์ทอัพปฏิวัติการปลูกป่า
Flash Forest เป็นสตาร์ทอัพจากแคนาดาที่ผสานเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งโดรน เครื่องยิงเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์พิเศษ และระบบแผนที่อัตโนมัติ โดยตั้งเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้ 1,000 ล้านต้นภายในปี 2028
โครงการแรกของพวกเขาคือการปลูกต้นไม้ 40,000 ต้นภายในหนึ่งเดือนบนพื้นที่ป่าทางตอนเหนือของโตรอนโตที่ถูกไฟป่าทำลาย

โดรนปลูกต้นไม้ได้ 20,000 ต้นต่อวัน
ปัจจุบัน Flash Forest สามารถปลูกต้นไม้ได้ 10,000-20,000 ต้นต่อวัน และมีแผนพัฒนาให้โดรนเพียงคู่เดียวสามารถปลูกได้ถึง 100,000 ต้นต่อวัน เมื่อเทียบกับนักปลูกป่ามืออาชีพที่ปลูกได้เพียงประมาณ 1,500 ต้นต่อวัน
กระบวนการทำงานของ Flash Forest เริ่มต้นด้วยการส่งโดรนสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างแผนที่ ระบุจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกโดยวิเคราะห์จากคุณภาพดินและพืชที่มีอยู่เดิม จากนั้นโดรนฝูงถัดไปจะทิ้งเมล็ดพันธุ์พิเศษอย่างแม่นยำ
ในพื้นที่ภูมิประเทศที่ยากลำบาก เช่น เนินเขาหรือป่าชายเลน โดรนจะใช้อุปกรณ์ยิงแบบนิวเมติกเพื่อฝังเมล็ดพันธุ์ลงในดิน ทำให้สามารถปลูกป่าในพื้นที่ที่มนุษย์เข้าถึงได้ยาก

เมล็ดพันธุ์พิเศษ มากกว่าแค่เมล็ด
เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ไม่ใช่เพียงเมล็ดธรรมดา แต่เป็น “กระสุนเมล็ดพันธุ์” ที่ประกอบด้วย:
- ก้อนปุ๋ยสูตรพิเศษที่ให้สารอาหารแก่ต้นกล้าได้นานถึง 9 เดือน
- เมล็ดพันธุ์ที่บ่มไว้ให้พร้อมงอก 3 เมล็ดต่อกระสุน เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอด
- ความหลากหลายของสายพันธุ์ โดยในแต่ละพื้นที่จะใช้ประมาณ 4-8 สายพันธุ์พื้นเมือง

ไม่ใช่แค่หยอดต้นกล้า แต่ติดตามความคืบหน้าด้วย
Flash Forest ไม่ได้เพียงหว่านเมล็ดแล้วปล่อยทิ้งไว้ พวกเขาจะกลับมาติดตามผลเป็นระยะ
- หลังจากปลูกไปแล้ว 2 เดือน
- หลังจากผ่านไป 1-2 ปี
- และอีกครั้งหลังจาก 3-5 ปี
เพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้ดูดซับคาร์บอนได้มากเท่าที่วางแผนไว้ “ถ้าเรามีจำนวนต้นไม้ต่ำกว่าเป้าหมายขั้นต่ำที่กำหนด เราก็จะกลับไปและมั่นใจว่าเราบรรลุเป้าหมาย” เนื่องจากบริษัทเลือกพันธุ์พื้นเมืองและใช้ฝักเมล็ดเพื่อปกป้องเมล็ดพันธุ์จากภัยแล้ง กระบวนการนี้จึงไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการทำให้ต้นกล้ามีชีวิตอยู่ แต่กลยุทธ์คือปลูกต้นไม้จำนวนมากและปล่อยให้บางส่วนอยู่รอดตามธรรมชาติ

คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ
Flash Forest ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยเลือกปลูกพืชหลากหลายสายพันธุ์แทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว พวกเขาทำงานร่วมกับธนาคารเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นและคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในอนาคต โดยเลือกสายพันธุ์ที่จะสามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
ความท้าทายในระยะยาว
แม้ว่าการปลูกป่าด้วยเทคโนโลยีจะช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าได้อย่างรวดเร็ว แต่การดูแลและปกป้องป่าที่มีอยู่ไม่ให้ถูกรุกรานหรือทำลายยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การรักษาป่าให้เติบโตได้ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเข้าไปปลูกใหม่ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการอนุรักษ์ป่าไม้
นวัตกรรมของ Flash Forest แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถเป็นพันธมิตรสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการฟื้นฟูระบบนิเวศของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง
https://www.iurban.in.th/greenery/flashforest/
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
เส้นทางย้อนแย้ง? บราซิลตัดต้นไม้ สร้างถนนใหม่ ทำลาย ‘ป่าฝนแอมะซอน’ รับเจ้าภาพประชุม COP30
