W9 ชี้ไมโครพลาสติกปนเปื้อนสูงขึ้น เผยสารพิษตกค้างร่างกาย ภัยคุกคามคุณภาพชีวิต

W9 ชี้ไมโครพลาสติกปนเปื้อนสูงขึ้น เผยสารพิษตกค้างร่างกาย ภัยคุกคามคุณภาพชีวิต

W9 Wellness Center เผยภัยเงียบจากการตกค้างและสะสมของไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์ ผ่านการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกและโฟม ที่เพิ่มมากขึ้นตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ระบุวิจัยจาก Scripps Research Institute เผย ไมโครพลาสติกสะสมในหลอดเลือดแดงมนุษย์ เสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าผู้ไม่มีไมโครพลาสติกถึง 4.5 เท่า แนะเลี่ยงการใช้พลาสติก ขับสารพิษเบื้องต้นด้วยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต

 

 

จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่หลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากสารเคมีกลุ่มพลาสติกได้ยาก อาทิ การดื่มน้ำหรือบริโภคสินค้าผ่านผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆมากมาย ที่อาจไม่ได้คุณภาพ เหล่านี้มีโอกาสที่พลาสติกจิ๋ว หรือ ‘ไมโครพลาสติก’ จะเข้าสู่ร่างกาย  กลายเป็นภัยเงียบที่ ‘ตกค้างและสะสม’ ในอวัยวะต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ 

ทั้งนี้จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก พบว่า ไมโครพลาสติกกำลังสะสมอยู่ในอวัยวะที่สำคัญของมนุษย์ และอาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีสารพิษตกค้างในร่างกายมากเกินโดยไม่รู้ตัว  โดยพบไมโครพลาสติกหรือพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร ในตัวอย่างสมองตั้งแต่ปี 2567 สูงขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบจากตัวอย่างในปี 2559  “นพ.พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์” แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center ให้ข้อมูล 

 

 

 

 

พลาสติก-โฟม โอกาสผู้บริโภค

รับสารปนเปื้อน สไตรีน – สารไดออกซิน

แพทย์ผู้อำนวยการเวลเนสเซ็นเตอร์แห่งนี้ ยังบอกด้วยว่า การใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกนับเป็นสาเหตุหลักของการปนเปื้อนไมโครพลาสติก จากภาชนะพลาสติกและโฟมเป็นส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับสารปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็น สารสไตรีนที่พบได้ในโฟม สารไดออกซินที่มักพบได้ในพลาสติกรีไซเคิล สาร Bisphenol A (BPA) พบได้ในขวดน้ำพลาสติก เป็นต้น ซึ่งสารดังกล่าวหากได้รับความร้อนจัดสารเหล่านี้อาจออกมาปนเปื้อนในอาหารได้ 

การที่ร่างกายได้รับสารปนเปื้อนในปริมาณเล็กน้อยอาจจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายในทันที แต่หากสะสมอยู่ในร่างกายเรื่อย ๆ อาจมีผลต่อสุขภาพได้ในระยะยาว

 

 

ความนิยมบริโภคอาหารแปรรูป

ดันการใช้พลาสติก สร้างไมโครพลาสติก พุ่ง 

ขณะที่แนวโน้มของการใช้พลาติกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยรายงานจากกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund) ที่พบว่าคนใช้พลาสติกประมาณ 5 กรัม ต่อสัปดาห์ และงานวิจัยอื่น ๆ ยังระบุว่าคนทั่วไปสร้างไมโครพลาสติกอย่างน้อย 50,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับคนที่นิยมบริโภคอาหารแปรรูป

 

 

ไมโครพลาสติกสะสมในหลอดเลือดแดงมนุษย์ 

เสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าผู้ไม่มีไมโครพลาสติกถึง 4.5 เท่า

โดยมีงานวิจัยจาก Scripps Research Institute พบว่า ไมโครพลาสติกสามารถสะสมอยู่ในไขมันภายในหลอดเลือดแดงของมนุษย์ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีไมโครพลาสติกถึง 4.5 เท่า 

 

 

การศึกษาพบ ทำให้เยื่อหุ้มไขมันล้อมรอบเซลส์ไม่เสถียร

นอกจากนี้ การศึกษาล่าสุดในประเทศเยอรมนีพบว่าอนุภาคไมโครพลาสติกสามารถทำให้เยื่อหุ้มไขมันซึ่งที่ล้อมรอบเซลส์ทั้งหมดไม่เสถียร ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของเซลส์ในร่างกาย 

 

 

ลดการใช้พลาสติก คัดแยกขยะพลาสติก

เพื่อนำไปรีไซเคิลใหม่อย่างถูกวิธี

ดังนั้นไมโครพลาสติกเป็นภัยเงียบที่เป็นอันตรายที่เราควรตระหนักและหาทางป้องกัน โดยการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ลดการสร้างขยะพลาสติก รวมทั้งคัดแยกขยะพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิลใหม่อย่างถูกวิธี

 

 

 

 

‘โลหะหนัก’ อีกสารอันตรายต่อร่างกาย  

นอกจากไมโครพลาสติกแล้ว อีกหนึ่งสารพิษตกค้างตกค้างในร่างกายที่ควรระวังนั่นคือ ‘โลหะหนัก’ ซึ่งการจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน เช่น จากการทำสีผม การทำเล็บ รับประทานอาหารทะเล ผัก ผลไม้ที่ปนเปื้อนสารเคมีเป็นประจำ 

โดยอาการเบื้องต้นที่บ่งบอกว่ามีสารพิษโลหะหนักสะสมในร่างกายมากเกินไปสามารถสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ  ดังนี้ ปวดศีรษะบ่อย ๆ อ่อนเพลีย นอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับโดยไม่พบสาเหตุอื่น อีกทั้งอาจจะมีอาการอื่น ๆ ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเป็นผลสืบเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับสารพิษสะสมในร่างกายที่มากเกินไป เช่น อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ สุขภาวะทางเพศลดลง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือลดน้ำหนักยาก ซึ่งเกิดจากความผิดปกติในระบบการเผาผลาญจากร่างกายเสียสมดุลในกระบวนการขับสารพิษ 

 

 

ขับสารพิษด้วยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ทั้งนี้ ปกติร่างกายสามารถขับสารพิษออกได้ด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อช่วยล้างสารพิษออกจากอวัยวะภายในร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ รับประทานอาหารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักสีเขียวเข้ม ผลไม้สีสด และอาหารที่มีวิตามินซีและอี และพักผ่อนให้เพียงพอ 

“ในปัจจุบันอาจจะมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต รวมถึงหลายคนอาจจะมีเงื่อนไขส่วนตัวอื่น ๆ เช่น อายุมาก มีโรคประจำตัว ฯลฯ ที่ทำให้ไม่สามารถดูแลปฏิบัติตัวเพื่อให้ร่างกายพื้นฟูหรือขับสารพิษได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การตรวจสารพิษในร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยมีการตรวจแบบเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจโคนเส้นผม และแบบ Oligoscan การตรวจทางเนื้อเยื่อฝ่ามือด้วยการสแกนจุดบนผ่ามือโดยไม่ต้องเจาะเลือด จึงอาจเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและวางแผนการดูแลสุชภาพของตนเอง” นายแพทย์พิจักษณ์ กล่าว