ททท. คาดปัญหา ฝุ่นควัน ภาคเหนือ ส่งผลกระทบท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ลดลง 10 % สูญรายได้ 2,000 ล้านบาท ขณะภาพรวม ต่างชาติทะลักเข้าไทยกว่า 5.4 แสนคน คนไทย อีก 3.1 ล้านคน ชี้หลังเลือกตั้งการเมืองไร้วุ่นทำให้ทั้งปี โกยรายได้ 3 ล้านล้านบาท
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ระหว่างวันที่ 12 – 16 เม.ย. ในส่วนของการท่องเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่เพิ่มสูงขึ้นในบางจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย นั้น กระทบต่อการท่องเที่ยวลดลงประมาณ 10% หรือคิดเป็นเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราเข้าพักในเขตเมืองจังหวัดเชียงใหม่ช่วงมี.ค.ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 82% ยังไม่ได้ปรับตัวลดลง แต่ที่ลดลงจะเป็นพื้นที่นอกเขตเมือง เช่น อ.เชียงดาว อ.ฝาง และแม่ริมอัตราเข้าพักต่ำกว่า 50% ซึ่งปัญหาปริมาณฝุ่นที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน แต่มีปริมาณหนาแน่นช่วงเวลา 04.00 น.-11.00 น. หลังจากนั้นก็ลดลงกลับสู่ภาวะปกติ และยังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบิน ส่วนการจองตั๋วล่วงหน้ายังปกติ
อย่างไรก็ตาม เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง โดยเฉพาะเมืองรองทำให้นักท่องเที่ยวหันไปเที่ยวเมืองรองเพิ่ม ทั้งนี้ โดยรวมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ททท.คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยประมาณ 546,000 คน ส่วนคนไทยเดินทางในประเทศ 3.1 ล้านคนต่อครั้งหรือมีการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 3% เนื่องจากมีการรณรงค์ในแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองและสนับสนุนท่องเที่ยวภายในประเทศ 10 กว่าจังหวัด ดังนั้นเชื่อว่าจะทำให้นักท่องเที่ยว เดินทางมาช่วงสงกรานต์กันมาก แต่ในปีนี้ในหลายพื้นที่เกิดปัญหาภัยแล้งจึงอยากให้เล่นน้ำอย่างประหยัด
ทั้งนี้ คาดว่าในส่วนของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อคนต่อทริป ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้านรายได้จากการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การใช้จ่ายท่องเที่ยวต่างประเทศถูกลง เชื่อว่าทำให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น 10% เช่นกัน
ด้านสถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้ง คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยมากขึ้น ประกอบกับยังไม่มีอะไรที่เคลื่อนไหวทำให้การท่องเที่ยวไทยยังเติบโตเหมือนเดิม ซึ่งปีนี้คาดว่ามีรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% แบ่งเป็นรายได้ในประเทศเพิ่ม 8% และต่างประเทศ 2%
