ในงานเดียวกันนี้ โต้โผใหญ่อย่าง อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย ได้นำชาวหอการค้าไทยร่วมกันประกาศปฏิญญาอุดรธานี โดยมีสาระสำคัญแบ่งเป็น 2 แนวทางสำคัญ คือ 1.หอการค้าไทยและหอการค้าจังหวัด จะผลักดันให้จีดีพีขยายตัวระดับ 4-5% ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยหอการค้าไทยและจังหวัดจะร่วมกันขับเคลื่อนภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจภูมิภาคภายใต้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ 2020 ซึ่งมุ่งเน้นการท่องเที่ยว การค้าชายแดน และการเกษตรแปรรูป เพื่อเชื่อมโยงไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
ประการที่ 2 หอการค้าไทยและหอการค้าจังหวัดจะรวมกับภาครัฐ ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในปี 2559 ให้เติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 4% มีแนวทาง 3 ข้อคือ 1.จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการบริโภค การค้า การท่องเที่ยว การลงทุนในพื้นที่ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น 2.หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และสินค้าล้นตลาดในบางฤดูกาล โดยนำสินค้าจากจังหวัดหนึ่งไปจำหน่ายในพื้นที่ต่างๆ และส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคของคนไทยในทุกพื้นที่ 3.จะร่วมกับรัฐบาลเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานรากผ่านโครงการพัฒนาตำบลและจังหวัด ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อให้เกิดการสั่งซื้อวัตถุดิบ และการจ้างงานภายในพื้นที่
ล่าสุดประธานกรรมการสภาหอการค้าไทยยังได้เสนอข้อเรียกร้องของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ในการเพิ่มวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) อีก 100,000 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ หลังจากเงินซอฟท์โลนก้อนแรกได้ถูกใช้หมดไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการยังคงต้องการสินเชื่ออีกเป็นจำนวนมาก
สำหรับภูมิหลังของ อิสระ ว่องกุศลกิจ เรียกว่าธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อย ๆจัดเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับแถวหน้าของเมืองไทยคนหนึ่ง ในฐานะประธานกรรมการ “กลุ่มมิตรผล” ผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของไทย ,ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูไนเต็ด แสตนดาร์ด เทอร์มินัล จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด
สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาบริหารการจัดการ จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ,วิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาธุรกิจการเกษตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากนั้นไปสำเร็จปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรม และที่สร้างความฮือฮาที่สุดในสังคมก่อนหน้านี้ นั่นคือกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาเปิดเผยถึงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จากกรณีการเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.57 จำนวน 195ราย พบว่าอิสระพร้อมด้วยคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สินมากที่สุดจำนวน5,033,236,910.99 บาท ทรัพย์สินคู่สมรส 173,353,424.99 บาท รวมหนี้สิน 13,957,172.95 บาท มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,225,733,163.03 บาท
ที่มา: thaiquote