12 ข้อ กินเจ ไม่ใช่แค่พิธีแห่งจิตวิญญาณ แต่เป็นการปรับพฤติกรรมเพื่อโลก

12 ข้อ กินเจ ไม่ใช่แค่พิธีแห่งจิตวิญญาณ แต่เป็นการปรับพฤติกรรมเพื่อโลก


อาหารทุกคำที่เรานำเข้าปาก เข้าสู่ร่างกาย ล้วนทำให้เกิดการเผาผลาญที่เพิ่มอุณหภูมิโลก ปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยเฉพาะผลิตจากสัตว์ ผ่านกระบวนการผลิตใช้ทรัพยากรสูง และสุดท้ายก็ต้องหยุดชีวิตที่เลี้ยงมาเพื่อเป็นอาหาร ถือเป็นการผลิตที่ไม่ยั่งยืน ทำร้ายโลก การส่งเสริมการผลิตโปรตีนทางเลือกจากพืช”กินเจ” จึงลดการใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง ชะลอภัยพิบัติโลก ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป นี่คือ 12 ข้อความจริง เทศกาลกินเจ ได้อิ่มบุญแล้ว ยังช่วยโลกพ้นวิกฤติได้จริง เพียงไม่สนับสนุนการผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์

 

 

โลกที่เคยพรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรธรรมชาติหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณ ทำให้มนุษย์ถือกำเนิดและดำรงเผ่าพันธ์ุ ขยายการสืบพันธ์ุ แต่การบริโภคจนเกินตัว ได้เบียดเบียนถิ่นกำเนิดจนทรัพยากรไม่เพียงพอและเสื่อมโทรมลง ทั้ง ดิน น้ำ ป่าไม้ ภัยพิบัติจึงเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเพราะโลกเดินมาถึงจุดเดือด พร้อมกันกับสังคมเหลื่อมล้ำขยายตัว ช่องว่างระหว่างคนรวยกับจนเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนรวยเข้าถึงอาหารได้อย่างเหลือกินเหลือใช้จนก่อเป็นขยะมหาศาล แต่ยังมี 1 ใน 4 ของประชากร ต้องเผชิญกับขาดแคลนอาหาร ขาดความมั่นคงทางอาหาร

หนึ่งในทางออกของมนุษย์ที่จะดับวิกฤติได้ คือการกลับมาคืนสู่แก่นแท้สัจธรรมพื้นฐานแท้จริงของมนุษย์ในการดำรงอยู่ต้องการเพียงแค่ ปัจจัยสี่ กินเจ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะดึงร่างกายและจิตใจให้กลับมาสู่ความจริงแท้ของสัจธรรมแห่งชีวิต

เทศกาลกินเจ (อาหารที่ไม่ใช้เนื้อสัตว์) ในอดีตถูกเรียกว่า มังสวิรัติ แต่ปัจจุบันมีเพิ่มเข้ามาคือ วีแกน (Vegan) คือไม่ทานส่วนผสมทุกอย่างที่ทำมาจากสัตว์ เพื่อไม่ไปเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นพิธีกรรมและประเพณีความเชื่อ ที่ถือเป็นการทำบุญในการลด ละ เลิกเบียดเบียนชีวิต

 

 

การกินเจตามความเชื่อของศาสนาพุทธ มีตำนานและความหมายหลายเรื่องราว บางเรื่องเล่าก็เพื่อรำลึกบูชาถึงพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม หรือ บางความเชื่อก็รำลึกถึงดาวนพเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลทั้ง 9 ดวง พลังที่ก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาล
โดยความหมายของการกินเจ เป็นภาษาจีน ตรงกับคำว่า อุโบสถ ก็คือการถือศีล 8 คือ การชำระล้างกาย และใจ โดยเริ่มต้นจากอาหาร เพื่อช่วยให้ตั้งมั่นในศีล มีสติปัญญาและความรู้ การพิจารณาและความเคารพต่อพระจันทร์ ช่วยให้พัฒนาจิตวิญญาณ และเข้าใจตัวตนมากขึ้น
กินเจจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีนี้ตรงกับวันที่ 15-23 ตุลาคม 2566

ไม่เพียงแต่เป็นความเชื่อตามหลักทางศาสนา จิตวิญญาณ บาป บุญคุณโทษ ที่เห็นผลในทางปฏิบัติ เพราะแค่เพียงเริ่มต้นจากการกินเจ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็ดับวิกฤติอุณหภูมิโลกเดือด เพราะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนใน ทั้งจากตัวเรา และซัพพลายเชนอาหารสายวีแกนส่วนใหญ่ผลิตโดยคำนึงถึงโลกร้อน ช่วยลดผลกระทบวิกฤติโลกเดือด ทำบุญชำระบาป ที่การปล่อยคาร์บอนกับโลก นรก สวรรค์ที่สัมผัสได้จริงบนพื้นดิน

การเป็นวีแกน (เจ) มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร?

ต้องยอมรับว่าอาหารทุกคำที่เรานำเข้าปาก เข้าสู่ร่างกาย ล้วนทำให้เกิดการเผาผลาญที่เพิ่มอุณหภูมิโลก หรือเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร จากระบบปศุสัตว์ ก่อนได้มาซึ่งเนื้อสัตว์ ผ่านกระบวนการผลิตมากมายหลายด้าน ตั้งแต่การใช้พื้นที่ดิน ทรัพยากร น้ำ อาหาร และยังก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการผลิตมหาศาล และสุดท้ายก็ต้องหยุดชีวิตสัตว์ที่เลี้ยงมาเพื่อเป็นอาหาร ถือเป็นการผลิตที่ไม่ยั่งยืน ทำร้ายโลก การส่งเสริมการผลิตโปรตีนทางเลือกจากพืช จึงลดการใช้ทรัยพากรสิ้นเปลือง ชะลอภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยปกป้องโลกของเราสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

นี่คือ 12 ข้อความจริง เทศกาลกินเจ หรือวีแกน ได้อิ่มบุญแล้ว ยังช่วยโลกพ้นวิกฤติได้จริง เพียงไม่สนับสนุนการผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์

1.การกินเจช่วยปรับพฤติกรรมลดการบริโภค ลดการก๊าซเรือนกระจกจากคน

มนุษย์ทุกคนล้วนมีส่วนต่อการปล่อยคาร์บอน ในสหรัฐอเมริกา คือประเทศบริโภคนิคมที่สูงที่สุดในโลก จากสถิติติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนเฉลี่ย 16 ตันต่อปี หากทุกคนในโลกบริโภคทรัพยากรเช่นเดียวสหรัฐอเมริกา ต้องใช้โลกเพิ่มชึ้นถึง5 ดวง การทานวีแกน จึงช่วยแบ่งเบาภาระการบริโภคโดยการปล่อยคาร์บอนสูง มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ระบุถึงทางออกของการรักษาโลกไว้ไม่เสื่อมโทรมได้ดีที่สุด คือการกินวีแกน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 73% เพราะการเลี้ยงปศุสัตว์ วัว หมู หรือ ไก่ ในฟาร์ม ต้องเบียดเบียนพื้นดิน ใช้น้ำมาก และยังมีของเสียมหาศาล ที่สำคัญ กระบวนการเลี้ยงและฆ่าสัตว์เพื่อใช้เป็นโปรตีนเนื้อสัตว์เป็นแนวทางที่ใช้คาร์บอนเข้มข้นมากกว่าการปลูกและเก็บเกี่ยวพืชเพื่อเป็นอาหาร

ในความเป็นจริง การผลิตเนื้อสัตว์จากพืชปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าการผลิตเนื้อสัตว์ทั่วไปถึง 90%หากเกิดกระแสทานพืชเป็นอาหารหลักมากขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบอาหาร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสิ่งมีชีวิตทั้งสายพันธุ์ และช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2.การหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปศุสัตว์

ก๊าซเรือนกระจก จาก ก๊าซมีเทนสามารถกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศได้ดีกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และตามมาด้วยการเพิ่มภาวะโลกร้อนถึง 30% นับตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม และส่วนสำคัญมาจากการเลี้ยงสัตว์ สัดส่วน32% เกิดจากกระบวนการย่อยอาหารและของเสียจากปศุสัตว์ เพราะวัว สูดก๊าซมีเทนขณะย่อยอาหาร ทำให้วัวตัวหนึ่งปล่อยมีเทนหนักสู่ชั้นบรรยากาศของโลกถึง 220 ปอนด์ หากวัว 1.5 พันล้านตัวในระบบอาหารทั่วโลกของเรา รวมตัวกันปล่อยก๊าซมีเทน ถือเป็นภาวะอันตรายที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศของเรา การเปลี่ยนมาทานวีแกน ลดการปล่อยมีเทนได้ถึง 45% อัตรานี้ สามารถช่วยชะลอภาวะโลกร้อนได้

3.กำจัดไนตรัสออกไซด์หรือมลพิษของเสียที่อันตรายจากฟาร์มโรงงานเลี้ยงสัตว์

ไนตรัสออกไซด์ไม่ใช่ก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุด สัดส่วนเพียง 6% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์ แต่มีอันตรายได้มาก เพราะย่อยสลายยากอยู่ได้ยาวนานถึง 100 ปี สารประกอบนี้มีพลังสร้างก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนถึง 300 เท่า ตั้งแต่ปี 1980 มนุษย์ปล่อยปล่อยก๊าซไนตรัสจากภาคการเกษตรและปศุสัตว์ 2 ใน3 โดยหลักๆ มาจากมูลสัตว์ในฟาร์มโรงงาน โดยขาดการกำจัด บางส่วนคืนสู่ดิน บางส่วน ลงบ่อปฏิกูล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมลพิษที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

4.อาหารมังสวิรัติและวีแกนช่วยลดการใช้พลังงาน

แหล่งโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วและถั่วเปลือกแข็ง ต้องการการแปรรูปน้อยกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์มาก และประหยัดพลังงานมากกว่าเนื้อสัตว์มาก การเปลี่ยนมาใช้พืชเป็นหลักช่วยประหยัดการใช้พลังงานและลดการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต้องการการแปรรูปจำนวนมากจึงใช้พลังงานมากถึง 31.5 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25%ของการปล่อยก๊าซทั่วโลก

5.การกินเจช่วยประหยัดน้ำ

เราสามารถประหยัดน้ำได้เป็นจำนวนมาก หากเปลี่ยนมาใช้อาหารจากพืช ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำของแต่ละคนได้ถึง 55% การรับประทานวีแกน พิสูจน์ได้ว่าช่วยอนุรักษ์แหล่งน้ำจืดให้สะอาดทั่วโลก สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป สหประชาชาติคาดการณ์ว่าผู้คน 700 ล้านคนอาจเผชิญกับ “การขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง” ภายในปี 2573 หรือภายในไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ทาง Water Resources Research ระบุว่า ภาคเกษตรกรรมใช้น้ำมากที่สุด สัดส่วน 70% ของการใช้น้ำทั่วโลก และสัดส่วน 41% ใช้น้ำไปกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์ การผลิตเนื้อโปรตีนจากพื้ชลดการใช้น้ำได้มากกว่า 50%

 

 

6.รักษาเสถียรภาพระบบนิเวศ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร

ของเสียอื่นๆ ที่ได้จากการกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ในฟาร์ม ได้สร้างความเสียหายให้กับมหาสมุทร โดยการปล่อยสารไนโตรเจนและฟอสฟอรัส หากถูกปล่อยลงทะเล จะทำปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เกิด “จุดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต” (Dead Zones) เพราะระดับออกซิเจนต่ำ ทะเลเป็นกรด สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลจึงไม่อาจมีชีวิตรอดได้ ทำลายระบบนิเวศในทะเล ปะการัง ยกเว้นสาหร่าย ปรากฎการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในท้องทะเลน่านน้ำของเม็กซิโก ที่ผ่านมามีอุตสาหกรรมประมงที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ได้ทำลายเสถียรภาพในท้องทะเล

7.การกินเจช่วยปกป้องป่าฝนและผีนดิน

เนื้อสัตว์ทดแทนจากพืชไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการผลิตมากนัก สถาบัน Good Food ประมาณการว่าเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืชใช้พื้นที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปถึง 99% หากโลกทั้งโลกเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ประหยัดพื้นที่การเกษตรทั่วโลกได้มากถึง 75% หรือ พื้นที่ขนาดเท่ากับสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรปรวมกัน หากเราได้รับโปรตีนจากพืชแทนการใช้สัตว์ การตัดไม้ทำลายป่าอาจลดลงถึง 94%
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่ถึง 1 ในสามของโลกเพื่อการเลี้ยงสัตว์ ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า ปล่อยก๊าซคาร์บอนสะสมสู่ชั้นบรรยากาศ การตัดไม้ทำลายป่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในป่าอเมซอน ป่าเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 15 ปีที่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ได้ทำลายและเผาพื้นที่ป่าไปมากกว่า 111 ล้านเอเคอร์ เทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 84 ล้านสนาม

 

8.ช่วยให้การอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยและป้องกันการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์

การเลี้ยงสัตว์ ตัวการขับเคลื่อนใหญ่ทำให้เกิดการการตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะป่าอเมซอน ซึ่งเป็นที่อาศัยของความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า 10% ของโลก ดังนั้นการหันมาบริโภคพืชช่วยลดการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของป่า ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตสัตว์ในฟาร์มเท่านั้น แต่ยังปกป้องสัตว์ป่า ต้องสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยและทรัพยากร ประชากรสัตว์ในป่าจะค่อยๆ สูญพันธุ์ การตัดไม้ทำลายป่าทำให้พืช สัตว์ และแมลงประมาณ 135 สายพันธุ์สูญพันธุ์ทุกวัน

 

9.การกินเจช่วยปกป้องดิน

การเปลี่ยนปลูกพืชเป็นอาหารทดแทนการเลี้ยงสัตว์ ทำให้ดินฟื้นตัว และยังสร้างกระบวนการ “ฟื้นฟู” สภาพแวดล้อมกลับคืนสู่จังหวะตามธรรมชาติและฟื้นตัวจากการเสื่อมโทรม การเลี้ยงสัตว์มีส่วนทำให้ดินเสื่อมโทรมจากากรตัดไม้ทำลายป่า และการผลิตอาหารสัตว์กัดกร่อนดินชั้นบนที่อุดมสมบูรณ์ เช่น การปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองมักฝังดินมากไป ทำให้ได้ผลิตระยะสั้นแต่ทำลายดินระยะยาว

10,ใช้ทรัพยากรน้อยลง

โปรตีนจากพืชมีประสิทธิภาพและผลิตได้ง่ายกว่าโปรตีนจากสัตว์ การใช้พื้นที่นับล้านไร่เพื่อปลูกพืชผลจำนวนมหาศาลเพียงเพื่อให้อาหารสัตว์ในระบบอาหารแบบเดิม ซึ่งเป็นกระบวนการรับอาหารทางอ้อมของมนุษย์ ในทางกลับกัน การปลูกพืชเพื่อการบริโภคโดยตรงของมนุษย์ นั้นลดกระบวนการรับอาหารได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านโรงงานแปรรูป ใช้พื้นที่น้อย ใช้พลังงานน้อย และน้ำน้อยกว่าการเลี้ยงและฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร

11.การกินเจต่อสู้กับความหิวโหยของโลก

หากคนทั้งโลกเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีพืชเป็นหลัก เราก็จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกได้ถึง 75% จากการใช้เลี้ยงสัตว์และผลิตอาหารสัตว์ในปัจจุบัน พื้นที่เหล่านี้นำไปปลูกโปรตีนจากพืชเพื่อสุขภาพที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อเพิ่มอาหารให้กับประชากรได้มากขึ้น ช่วยบรรเทาความหิวโหยของกลุ่มคน 8.9% ของประชากรโลก ต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหารและความไม่มั่นคงทางอาหาร หรือ ราว 690 ล้านคน ที่ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรกิน อาหารมื้อต่อไปจะมาจากไหน เพราะสภาพดินในพื้นที่เสื่อมโทรม ทำให้การผลิตอาหารลดลง และผู้คนจำนวนมาก ที่ต้องสูญเสียอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และดีต่อสุขภาพ

12.การกินเจทำให้ผู้คนมีสุขภาพดี

การเปลี่ยนไปทานอาหารจากพืชเป็นหลัก และลดความต้องการเนื้อสัตว์ เราจะลดอัตราการบริโภคยาปฏิชีวนะที่เป็นอันตรายต่อคน ซึ่งอยู่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ จึงช่วยปกป้องสุขภาพของคน เพราะการกินอาหารจากพืชลดการปลอมปนของสารเคมี ในฟาร์มแบบโรงงาน เต็มไปด้วยสิ่งปลอมปนในโรงงาน ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการกำจัดเชื้อโรค ซึ่งหากปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นจนถึงจุด “”ซุปเปอร์บัก” หรือ เกิดภาวะดื้อยา จะยิ่งส่งผลการแพร่กระจายเชื้อโรคอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติ(UN) ยังเคยเตือนถึงประเด็นนี้ว่า “การติดเชื้อที่ดื้อยาต้านจุลชีพ (แบคทีเรีย,ไวรัส, เชื้อรา และปรสิต) อาจกลายเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลกภายในปี 2593”

ระบบการพัฒนาอาหารกำลังจะพัง หากปล่อยให้เกิดกระบวนการผลิตอาหารจากสัตว์เหล่านี้ เราจึงต้องตัดวงจรอาหารจากสัตว์ ที่เป็นความเสี่ยงทั้งต่อชีวิตมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง ถึงเวลาที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องเลือกสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของเราและลูกหลาน ปฏิวัติระบบการการผลิตอาหาร เลือกทานอาหาร สร้างบุญ ชำระบาปที่เคยทำไว้กับโลกจากพฤติกรรมการบริโภคแบบขาดการตระหนักรู้ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การวางรtบบอาหารที่ยั่งยืน เพื่อโลก สุขภาพของประชากรบนโลก

วิธีเดียวที่ มนุษย์จะสร้างแต้มบุญ ชำระบาปได้ ลดอุณหภูมิความร้อนแรงของโลก ที่จะทะลุจุดเดือด “ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ยุคใหม่เคยเผชิญมา” เปลี่ยนนรกให้คืนสู่สวรรค์บนดินได้ด้วยการเริ่มต้นบริโภคจากตัวเรา.

ที่มา: https://thehumaneleague.org/