กระแสการปรับ “ครม.” ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าจะเริ่มซาลงไปเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้ กำลังภายใน ภายนอกของบรรดานักการเมือง เหมือนโยนเผือกร้อนและต้องการส่งสัญญาณมายังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในคณะรัฐมนตรี เพื่อกรุยทางสู่การปรับครม. ท่ามกลางข่าวความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่คอยสนับสนุนการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ อยู่เสมอ
เสียงจากนักการเมืองทั้งใน และนอก ดูเหมือนจะให้นายกฯ ปรับครม.เสียให้ได้ และแน่นอนว่าเจตนาหลักก็หนีไม่พ้นว่าพรรคพวก กลุ่มก้อนตัวเองจะต้องได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
แต่กระแสก็ดูเหมือนจะจางลงไป เพราะหลังจากการประชุมกับบิ๊กเนมในครม.ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีโต้โผใหญ่อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องร่วมประชุมอยู่แล้ว พร้อมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา หากคอการเมืองจับสังเกตกันได้ ทั้งคู่ร่วมกันสร้างบรรยากาศทางการเมืองอย่างแช่มชื่น สอดรับกับสิ่งที่นายสมคิดระบุไว้ในช่วงเช้าก่อนประชุมว่า เวลานี้ นักการเมืองจะต้อง “สร้างบรรยากาศ” ทางการเมืองให้ดี เพื่อเป็นการปูทางให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้เดินตาม และเพราะการเมืองหรือไม่ ที่ทำให้คนดี ๆ ต้องทยอยหายไปไม่อยากร่วมทำงาน
ท่าทีที่แสดงออกมาอย่างชื่นมื่นระหว่างสองบิ๊กเนมในรัฐบาลที่เป็นเนื้อเดียวกัน ร่วมกันเดินหน้าทำงานบริหารประเทศภายใต้โจทย์ใหญ่คือการฟื้นคืนเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 จึงถูกถ่ายทอดออกมา แม้จะเป็นมุมเล็ก ๆ ที่หลายคนไม่เห็น แต่มันมีความหมายต่องานทางการเมืองอย่างยิ่ง
เพราะท่าทีที่แสดงออกถึงบรรยากาศที่ดี มันย่อมทำให้เห็นภาพว่าทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด ที่มีทั้งนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และในฐานะหัวเรือใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันกับอีก 3 คนที่เป็นมันสมองคือ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และในฐานะ “พ่อบ้าน” เลขาฯ พลังประชารัฐ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยนายกอบศํกดิ์ ภูตระกูล จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการ่วมงานของรัฐบาล
กระนั้น ไม่ใช่แค่ว่าบรรยากาศที่ดีขึ้น จะช่วยเสริมเก้าอี้ของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ให้อยู่รอดเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ทั้งหมดร่วมกันทำมาก็เพื่อสานต่อให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำงานอย่างเดินหน้า รวมไปถึงนโยบายต่างๆ ด้านเศรษฐกิจก็ถูกเซ็ทอัพจากโต้โผใหญ่ของกลุ่มนี้ ทั้งระบบงานที่ต้องเชื่อมต่อกันระหว่างหน่วยงาน ดังนั้น การเปลี่ยนขุนศึกระหว่างสงคราม จึงไม่น่าเกิดขึ้นเพราะจากอดีตหลายรัฐบาลก็มีให้เห็นตัวอย่างมาแล้วว่าผลเสียมันก็มีเหมือนกั
เช้าต่อมาก่อนการประชุมครม. ประจำนัดวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ภาพที่เห็นจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งของนายสนธิรัตน์ ที่เดินชมนิทรรศการด้านพลังงานก่อนประชุมอย่างยิ้มแย้ม สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของนายสมคิดก่อนประชุมครม.ด้วยว่า ความขัดแย้งไม่มีอะไร
เชื่อว่าจากนี้ ทุกอย่างน่าจะจบลงกับปมความขัดแย้งต่าง ๆ ในงานทางการเมือง เพื่อจะได้เดินแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากพิษโควิด-19 ให้เดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะกับการใช้เงินกู้ 4 แสนล้านที่ต้องการกำลังทุกภาคส่วนเคลื่อนมันไปให้ได้ และทีมเศรษฐกิจในชุดนี้ก็คือหัวใจการเคลื่องงานนี้ของรัฐบาล
ข่าวที่น่าสนใจ