โดย…กองบรรณาธิการ ThaiQuote
เงินที่กระทรวงการคลังจะทุ่มออกมาจากกระปุกออมสินของรัฐบาลรวมนับแสนล้านบาท เงินมหาศาลในส่วนนี้จะเข้ามาช่วยทุกทางในการพยุงเศรษฐกิจของชาติท่ามกลางภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
พลันที่อุตตม สาวนายน รมว.คลังของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเหตุผลถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการต้องเอาเม็ดเงินออกมาเยียวยาคนไทยทุกคน เพราะโควิด-19 คือเหตุผลหลักที่สั่นสะเทือนภาคเศรษฐกิจของชาติไปทุกหย่อมหญ้า
“ผมจะเอาเข้าครม.เศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนในวันที่ 6 มีนาคมนี้ เราจะใช้วิธีส่งเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิให้นำเงินไปใช้จ่าย เมื่อนำเงินไปซื้อของสินค้าต่างๆ เงินก็จะหมุนไปในหลายภาคส่วน เพราะเมื่อเกิดการซื้อก็จะเกิดการผลิต การจ้างงานตามมา”
นั่นคือเหตุผลของความจำเป็นที่จะต้องเอาเงินออกมาเพื่อหมุนเวียนกันภายในประเทศของขุนคลัง ซึ่งแผนดังกล่าวก็เป็นไปตามบทบาทของกระทรวงการคลังภายใต้การกำกับการของอุตตม
แต่เสียงค่อนขอดก็ยังออกมาจากคนที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการแสดงความคิดเห็น บ้างก็ว่าแรงถึงขนาดว่าไม่มีฝีมือจัดการไวรัส ต้องเอาเงินมาจุนเจือ บ้างก็ว่ารัฐบาลเก่งแต่แจกเงินอย่างเดียว หรือแรงสุดก็ยังมีการเชื่อมโยงไปหาคะแนนความนิยมจากประชาชนคนไทย
จะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งก็อาจจะต้องยึดโยงเอาความตั้งใจของคนในรัฐบาลในการแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ด้วยความ “จริงใจ” กันเอาไว้ก่อน เพราะอย่างน้อยก็ยังเห็นภาพการลงมือแก้ปัญหากันในส่วนหน้าที่ที่แต่ละคนมีความรับผิดชอบอยู่
อย่างไรก็ตาม หากจะว่าด้วยการอัดเม็ดเงินลงไปในระบบเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต ประเทศไทยเองก็ไม่ใช่เมืองแรกที่ทำ หรือทำบ่อย เพราะนานาประเทศก็ใช้วิธีการนี้เช่นกันเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้นให้กับบ้านเมืองของพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่น “ญี่ปุ่น” ที่เทเงินจากกระทรวงการคลังของพวกเขาถึง 2.7 แสนล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวเกือบๆ 8 หมื่นล้านบาท เข้าสู่ระบบเพื่อใช้ต่อสู้กับทุกด้านของการแพร่ระบาดโควิด-19 และพวกเขาเลือกใช้ในระยะสั้นด้วย
หรือแม้แต่ขยับเข้ามาใกล้ประเทศไทยหน่อย อย่าง “สิงคโปร์” ที่ก็ต้องเอาเงินมาแก้ปัญหาโควิด-19 เช่นกัน ทั้งการตั้งงบสนับสนุนพิเศษ 1,700 ล้านบาท เพื่อมาช่วยแท็กซี่ พนักงานขับรถ ที่ต้องเข้าไปช่วยอย่างเร่งด่วน เพราะกลุ่มคนอาชีพนี้ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการแพร่โควิด-19 ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สมควรได้รับในแต่ละวัน
สิงคโปร์ก็ใช้วิธีการเติมเงินต่อเที่ยวให้คนขับแท็กซี่เที่ยวละ 20 ดอลร์ล่าสิงคโปร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เที่ยวละ 500 บาท นาน 3 เดือน กับการช่วยได้ราว 4 หมื่นชีวิตในอาชีพคนขับรถ เพื่อให้พวกเขามีเงินไปเลี้ยงดูตัวเอง
เงินตรงนี้ก็ไม่ไปไหน ก็ถูกเข้าไปหมุนเวียนใช้จ่ายในประเทศของพวกเขาเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว เงินจึงไม่ใช่ศัตรูเสมอไป แต่มันคือทางรอดที่เห็นผลได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และแนวทางของกระทรวงการคลังที่ดำเนินการอยู่ ก็ไม่ผิดแผกจากนานาประเทศเท่าใดนัก
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ