1MDB หรือ กองทุนพัฒนามาเลเซีย คดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูก”ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” จับมาโยงถึงรัฐบาลไทยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าไปพัวพัน และ ถือโอกาสซักฟอกนอกสภา ในนาม “คณะอนาคตใหม่”
อีกครั้งที่ ThaiQuote ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อดีตรองอธิการบดี และอดีตคณบดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นักวิชาการด้านการเมืองคนสำคัญ เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึง ยุทธศาสตร์นอกสภาของ “คณะอนาคตใหม่”
เปิดฉากไขข้อสงสัย “1MDB” คืออะไร? ซึ่งอาจารย์ยุทธพร เผยว่า เป็นคำย่อมาจาก 1Malaysia Development Berhad กองทุนของภาครัฐของมาเลเซียที่ใช้ในการระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศ แต่มีการทุจริตเกิดขึ้นในสมัย “ราจิบ ราซัค” เป็นนายกรัฐมนตรี เงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ไหลเข้าบัญชีส่วนตัวของ “นาจิบ” สมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พัวพันกับการโยกเงินจากกองทุนเหล่านี้ไปเข้าบัญชีลูกชายตัวเอง โดยมีการทำร่วมกับนักธุรกิจต่างๆ กลายเป็นข่าวใหญ่ในมาเลเซีย และเป็นชนวนให้ประชาชนออกมาชุมนุมประท้วง จนนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้ “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
อาจารย์ยุทธพร ประเมินว่า การที่คณะอนาคตใหม่จุดกระแสนำประเด็นนี้มาโหมโรงเรียกแขก ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางการเมือง หลังจากพรรคถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหาร แม้ยังเหลือ ส.ส.อีกกว่า 60 คน ที่ยังทำหน้าที่ต่อในสภาได้ แต่อย่าลืมว่า”อนาคตใหม่”หัวใจหลักไม่ได้อยู่ที่มือในสภา แต่หัวใจหลักของ”อนาคตใหม่” นั้นอยู่ที่บทบาทของแกนนำ
“พอวันนี้แกนนำอยู่นอกสภา ก็ต้องมีการวางกลยุทธ์เชื่อมต่อระหว่างการเมืองในสภากับนอกสภาให้ได้ และนอกจากนี้ การหยิบยกนำประเด็น “1MDB”ขึ้นมา ก็เพื่อยกระดับประเด็นการยุบพรรคอนาคตใหม่ให้เป็นที่สนใจในระดับระหว่างประเทศด้วย เพราะคดีทุจริต 1 MDB เป็นคดีฉาวที่ทั่วโลกให้ความสนใจและติดตามอยู่ ดังนั้นการเชื่อมโยงผู้นำของไทยไปเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ และการทำหน้าที่นอกสภาของอนาคตใหม่ ก็เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ที่จะทำให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ หรือระดับโลกเพื่อสร้างความสนใจได้ไม่น้อย” อาจารย์ยุทธพร กล่าว
- โหมโรงศึกใหม่ “ช่อ” ร่ายยาว “ลุงตู่” เอี่ยวทุจริต 1MDB อ.แหม่มโร่แจง ใส่ร้ายรัฐบาล!
- “ช่อ ” ไม่หวั่น ถูกฟ้อง ท้า”บิ๊กตู่” ฟ้องคนเดียว ปมเอี่ยวโกงกองทุน 1MDB
นักวิชาการท่านนี้ ยังจับเอาคำอภิปรายนอกสภาของ ช่อ พรรณิการ์ ที่กล่าวหาว่า”กรณีที่คนสนิทของ ราจิบ ที่ชื่อ นายโจ โล เข้าออกประเทศไทยถึง 5 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเข้ามาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 หลังนายนาจิบแพ้การเลือกตั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติคือ ไม่เคยมีหลักฐานปรากฏว่าไทยแจ้งต่อประเทศใดเลย ว่า นาย โจ โล มีการเข้าออกประเทศไทย อีกทั้งไม่ได้มีการห้ามเข้าออกประเทศของคนที่มีหมายจับสีแดงติดตัว จึงสงสัยว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จงใจให้ที่พักพิงกับอาชญากรที่มีหมายแดงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์ว่าจริงเท็จอย่างไร หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหมายจับของตำรวจสากล เรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับมาเลเซีย เพราะเราก็มีสนธิสัญญากันอยู่แล้ว
“ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เพราะอย่าลืมว่าวันนี้รัฐบาลของ “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” ก็เป็นรัฐบาล ซึ่งอยู่ขั้วตรงข้ามก็หาทางกำจัดพวกทุจริตคอรัปชั่นในสมัยนายราจิบ อยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดำเนินการผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ อย่างชัดเจน โปร่งใส” อาจารย์ยุทธพร กล่าว
ส่วนกรณีที่นางสาวพรรณิการ์ อ้างว่าได้รับข้อมูลนี้มาจากศาลของสวิตเซอร์แลนด์นั้น อาจารย์ ยุทธพร บอกว่า ในมุมมองของความน่าเชื่อถือก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามาจากศาลของสวิตฯ หรือมาจากแหล่งใด เชื่อถือได้หรือไม่ จึงต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป พร้อมเห็นว่าเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องสืบหาข้อเท็จจริงว่ามันจริงแท้หรือไม่ประการใด หรือหาก ส.ส.ฝ่ายค้านลุกขึ้นจี้ถามในสภาฯ พลเอกประยุทธ ควรใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นตอบให้ชัดเจน เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง เพราะ “1MDB” ไม่ได้เกี่ยวพันเฉพาะรัฐบาลไทยกับมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังหมายถึงภาพรวมระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเราจะต้องทำให้ชัดเจน เพื่อรักษาภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศไทยไว้ให้ได้
อาจารย์ยุทธพร ยังวิเคราะห์สถานการณ์ที่รุมเร้ารัฐบาลในขณะนี้ ที่มีทั้งการอภิปรายรัฐบาลทั้งในและนอกสภา ว่า เป็นเรื่องที่หนักหนาอยู่ไม่น้อย แต่มองว่ารัฐบาลก็ยังสามารถไปต่อได้ เพราะว่า ตอนนี้เรื่องคณิตศาสตรและสมการทางการเมืองในสภาที่เปลี่ยนแปลงไป และมีช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านค่อนข้างมาก
“หากวันนี้เสียงของ ส.ส.รัฐบาลไม่รวมพรรคเศรษฐกิจใหม่จะอยู่ที่ 258 เสียง โดยที่เสียงฝ่ายค้าน หากยังรวมพรรคเศรษฐกิจใหม่อยู่ ก็จะมี 229 เสียง ซึ่งยังมีช่องว่างประมาณ 30 เสียง ในทางกลับกัน หากพรรคเศรษฐกิจใหม่ หันมายกมือให้รัฐบาลด้วย ช่องว่างก็จะเพิ่มมากขึ้นไปถึง 40 เสียงเลยทีเดียว ดังนั้นโอกาสที่จะทำให้เกิดความพ่ายแพ้ในการโหวตครั้งนี้ จึงเป็นไปได้ยากมาก ถึงแม้การตอบของรัฐมนตรีต่างๆจะชัดเจนหรือไม่ชัดเจน ผมมองว่ายังไงก็ผ่านไปได้”
นักวิชาการท่านนี้ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลังจากนี้ ก็คือเสียงโหวตไว้วางใจรัฐมนตรีแต่ละคน หากคะแนนเสียงน้อยกว่าที่รัฐบาลควรจะได้รับ หรือมีรัฐมนตรีคนใดได้คะแนนน้อยที่สุด และยิ่งถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะยิ่งกระทบต่อรัฐบาลในระยะยาว พร้อมเชื่อว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้น่าจะผ่านไปได้ โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจมากกว่า ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่ารัฐบาลจะเดินต่อไปได้หรือไม่
ข่าวที่น่าสนใจ