“ร.อ.ธรรมนัส” คนสำคัญ ที่รัฐบาล-พลังประชารัฐ “ทิ้งไม่ได้”

“ร.อ.ธรรมนัส” คนสำคัญ ที่รัฐบาล-พลังประชารัฐ “ทิ้งไม่ได้”


กองบรรณาธิการ ThaiQuote
ถือเป็นวิบากกรรมของชายที่ชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กับสมรภูมิทางการเมืองระดับชาติครั้งแรกในชีวิตของเขา เพราะห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดกระแสตีกลับมายังนักการเมืองหน้าใหม่ผู้นี้อย่างหนักหน่วง และคำถามจากสังคมก็ถาโถมเข้ามาอย่างเต็มที่ในหลากหลายรูปแบบทีเดียว

ทั้งเรื่องการถูกจองจำในคดีที่เข้าไปพัวพันกับยาเสพติดในออสเตรเลีย ต่อเนื่องมาถึงคุณสมบัติของเจ้าตัวที่เหมาะสมหรือไม่กับตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เป็นเก้าอี้ของเจ้าตัว และลุกลามไปถึงการแต่งตั้งร.อ.ธรรมนัสเข้ามาทำงาน ซึ่งก็เป็นคำถามที่คนบิ๊กเนมอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ไม่อยากจะตอบเสียเท่าไหร่

และดูเหมือนว่าฝ่ายค้านที่ตรงข้ามกับขั้วรัฐบาล จะหยิบยกประเด็นของร.อ.ธรรมนัส เข้าโจมตีอย่างเต็มพิกัด และแน่นอนว่ามันย่อมสะเทือนไปยัง “พรรคพลังประชารัฐ” ด้วยเช่นกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะถือเป็นสังกัดของร.อ.ธรรมนัส ให้เสียรังวัดและลดทอนความเชื่อมั่นจากสังคมลงไปเรื่อยๆ

เพราะรู้ดีว่า “ร.อ.ธรรมนัส” ถือเป็นบุคคลสำคัญในลำดับต้นๆ ของพรรคเกิดใหม่แต่ได้เป็นรัฐบาลพรรคนี้ และก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะเคยลั่นวลีเด็ดเอาไว้แล้วว่า

“ล้มผมได้ ก็ล้มรัฐบาลได้”

คำนี้ดูเผินเหมือนกับไม่มีความหมายนัยยะอะไรเป็นพิเศษ หรือเป็นการบ่งบอกความมั่นใจเต็มพิกัดของตัวเองที่แน่นอนว่าในสมรภูมิการเมืองก็ต้องเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ให้ได้ ไม่อาจปล่อยความอ่อนแอให้ศัตรูทางการเมืองได้เห็นเพื่อเป็นช่องโหว่มาโจมตี

แต่อีกนัยยะหนึ่งคำนี้มันก็บ่งบอกความหมายได้เป็นอย่างดีถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่น่าจะขาดชายที่ชื่อร.อ.ธรรมนัสในสารบบการเมืองที่ตัวเองเป็นโต้โผไม่ได้อยู่เช่นกัน

นั่นเพราะร.อ.ธรรมนัสค่อนข้าง “มีความสำคัญ” อย่างมากทีเดียวภายในพรรค ในฐานะ “พ่อบ้าน” ที่คอยปัดกวาดจัดการทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในฐานะตัวจริง

เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่า ร.อ.ธรรมนัสถือได้ว่ามีบทบาทอย่างมากต่อการจัดการตั้งรัฐบาล อย่างเช่นวันที่ “ขันหมาก” จะออกจากพรรคพลังประชารัฐ โดยมี “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคถือพานไปสู่ขอ “ประชาธิปัตย์” ถึงถิ่นเพื่อให้เอาส.ส.มาร่วมกันตั้งรัฐบาล ก่อนหน้านั้นแค่วันเดียว ก็ปรากฏร่างของร.อ.ธรรมนัส ไปพูดคุยเจรจาสู่ขอกับผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ และได้คำตอบที่ลงตัว ก่อนที่อุตตมจะมาทาบทามเพื่อให้เป็นภาพปรากฏสู่สังคม

หรือแม้แต่การ “น้อยอกน้อยใจ” ของบรรดาพรรคเล็กที่ร่ำๆ จะถอย ก็ได้ “ร.อ.ธรรมนัส” อีกครั้งที่พยายามดึงและพูดคุยให้อยู่ร่วมกันต่อไป แม้จะเสียไปสองพรรคที่ออกไปเป็นฝ่ายค้านอิสระ แต่ก็ยังเหลืออีก 7 พรรคเล็กที่ทำให้เสียงรัฐบาลไม่ปริ่มน้ำจนเกินไป

และอีกความสำคัญของร.อ.ธรรมนัส ที่คนในพรรครู้กันเป็นอย่างดี ว่าเกิดเหตุปัญหาอะไร เขาจะเป็นคนที่รายงานตรงไปยังผู้มากบารมีแห่งรัฐบาลได้ทันที ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ

รวมไปถึงบรรดาบิ๊กเนมของพรรคร่วมทั้งประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย การเจรจาพูดคุยก็เป็นที่รู้กันดีว่าจะต้องผ่านร.อ.ธรรมนัสเท่านั้้น บารมีของ 4 กุมารผู้ก่อตั้งพรรค ทั้ง อุตตม สาวนายน สนธิรัตน์ สนธิจริวงศ์ สุวิทย์ เมษินทรีย์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล เขี้ยวทางการเมืองยังไม่ลากดิน การจะไปเจรจาต่อรองในมุมการเมืองก็ยังไม่อาจทัดเทียมร.อ.ธรรมนัส ที่แม้จะหน้าใหม่เหมือนกัน แต่ความโชกโชนมันแตกต่างกันมาก

ภาพที่เห็นคือทั้งคนที่ “ถางทางให้เดิน” หรือเป็นคนที่คอย “ปัดกวาดสิ่งสกปรกในบ้าน” แม้แต่ยังเป็นคนที่ “รายงานทุกปัญหา” ให้กับผู้ใหญ่ได้รับทราบ พร้อมเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้ทั้งแบบลับ และในที่แจ้ง รวมไปถึงหน้าที่ “คนประสาน” แถมให้อีก

นั่นคือจึงเป็นความสำคัญของชายที่ชื่อร.อ.ธรรมนัส

และแน่นอนว่าเขาเห็นความสำคัญของตัวเองแน่แท้ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่กล้า “ท้าทาย” ได้ขนาดนี้ ว่าล้มเขาได้ ก็ล้มรัฐบาลได้

เพราะอีกสิ่งสำคัญคือรัฐบาลไม่อยากจะล้ม แน่ล่ะก็ต้องไม่ให้ชายที่ชื่อร.อ.ธรรมนัสล้มไปแล้วจะเป็นโดมิโนมายังรัฐบาล

ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ชัดเจนว่าพลังประชารัฐ และรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จะยังคงต้องอุ้ม “ร.อ.ธรรมนัส” ต่อไป ไม่ว่าเสียงคัดค้านทัดทานจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม เพราะนาทีนี้ ยังไม่มีตัวแทนเขาอย่างจะแจ้งได้เลย แม้แต่คนเดียว
แม้แต่คนเดียวจริงๆ