ศึกสงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลกระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ใช่ว่าจะถึงข้อยุติหรือจะจบลงอย่างง่ายๆ
ด้วยว่าล่าสุดทางการจีนก็มีไม้เด็ดออกมาเพื่อกระหน่ำไปยังสหรัฐฯ อีกระลอก นั่นคือมาตรการทางภาษีที่จีนขึ้นภาษีอากรกับสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นจีนที่ลดกำแพงภาษีการค้าให้กับประเทศอื่นๆ
เหมือนกับว่าเป็นการตอกหน้าสหรัฐฯ เข้าเต็มๆ ซึ่งผลที่ตามมาคือสินค้าสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาค้าขายในตลาดที่มีผู้บริโภคสูงที่สุดในโลกอย่างจีน ทุกผลิตภัณฑ์สินค้าจะมีราคาแพง ขณะเดียวกันในสินค้าประเภทเดียวกันแต่มาจากประเทศอื่น กลับจะสวนทางด้วยมีราคาที่ถูกลง ผลตรงนี้จะทำให้เกิดการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคและบริโภคของชาวจีนทันที
เพราะมันเป็นหลักง่ายๆ ที่ ของแบบเดียวกัน คนก็ต้องซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่าแน่ๆ
บทวิเคราะห์จาก Peterson Institute for International Economics สถาบันวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ระดับโลก สะท้อนเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว เพราะได้ยกข้อมูลด้านมาตรการภาษีระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลกตั้งแต่เข้าห้ำหั่นกันในสงครามการค้า เนื่องด้วยนับตั้งแต่ปี 2561 ที่เปิดศึกกัน อัตราภาษีศุลกากรที่จีนจัดเก็บกับสินค้าอเมริกันโดยเฉลี่ย พุ่งไปอยู่ที่ 20.7% ขณะเดียวกัน รัฐบาลกรุงปักกิ่งได้ลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าประเภทใกล้เคียงกัน ที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก ให้เหลือเฉลี่ยเพียง 6.7% โลกจึงได้เห็นตัวเลขระยะห่างของมาตรการทางภาษีที่เข้มข้นในช่องว่างนี้ทันที
สิ่งนี้ย่อมทำให้เห็นภาพของการ “เสียเปรียบ” สำหรับอเมริกันทั้งในส่วนบริษัทสัญชาตินี้ เมื่อเทียบกันกับประเทศอื่นๆ เพราะจีนเท่ากับปูพรมแดงต้อนรับนานชาติที่ไมใช่อเมริกัน ให้สามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะหากคนจีนจะซื้อสินค้าใดๆ แล้ว เมื่อเทียบกันกับผลิตภัณฑ์เดียวกันระหว่างของจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ จะมีราคาถูกกว่าสินค้าของสหรัฐฯถึง 14% เลยทีเดียว
หรือยกตัวอย่างง่ายๆ ยอดขายลอบสเตอร์ของสหรัฐให้แก่จีน ดิ่งลงเกือบ 70% ตั้งแต่รัฐบาลกรุงปักกิ่งเก็บภาษีตอบโต้ 25% เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ขณะเดียวกัน การส่งออกลอบสเตอร์ของแคนาดาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เพราะได้ประโยชน์จากการที่จีนลดภาษีให้
อย่างไรก็ตาม รายงานของ Peterson ระบุว่าการเดินเกมของจีน ไม่ได้มุ่งตอบโต้สหรัฐเท่านั้น แต่เพื่อบรรเทาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนด้วย เพราะแม้ทางการได้ออกมาตรการสนับสนุนและผ่อนคลายนโยบายหลายอย่าง แต่เศรษฐกิจจีนยังไม่ค่อยแข็งแกร่ง จึงต้องนำเข้าสินค้าบางอย่างในราคาที่ถูกลงจากประเทศอื่น
ทั้งนี้ สหรัฐขึ้นภาษีศุลกากรเป็น 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลกรุงปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งที่สหรัฐส่งออกไปจีนในแต่ละปี
กระนั้นก็ตาม ก็เริ่มมีข้อเรียกร้องมาจากภาคเอกชนของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกันว่าถึงควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องจัดการอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกับจีน และไม้เด็ดจากจีนในการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกก็ทำให้กระเทือนการประกอบธุรกิจขององค์กรในสหรัฐฯ ด้วย
เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอลมาร์ท ทาร์เกต และอีกกว่า 600 บริษัท เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขข้อพิพาทการค้า พร้อมเตือนว่าการเก็บภาษีอาจทำให้ครอบครัวอเมริกันต้องสูญเสียเฉลี่ยปีละ 2,000 ดอลลาร์ และทำลายงาน 2 ล้านตำแหน่งของสหรัฐ
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ