ถอดรหัส “มิ่งขวัญ” หายไปไหน หรือมีนัยยะ “การเมือง”

ถอดรหัส “มิ่งขวัญ” หายไปไหน หรือมีนัยยะ “การเมือง”


ข้อเท็จจริงสังคมกำลังต้องการคำตอบในขณะนี้ คือ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ผู้ครอง 6 เก้าอี้ส.ส.ในมือ หายไปไหน?

เงาของมิ่งขวัญ ไม่ปรากฏกลางโรงแรมแลงคาสเตอร์ ซึ่งเป็นหมุดหมายที่ แนวร่วมของพรรคที่เรียกร้องว่าประเทศไทยจะต้องเป็นประชาธิปไตย ซึ่งนำโดย “เพื่อไทย” ของหญิงหน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อมด้วย “อนาคตใหม่”ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “เสรีรวมไทย” ของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวศ “ประชาชาติ” ของวันมูหะหมัดนอร์ มะทา “เพื่อชาติ” ของสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ “พลังปวงชนไทย” นิคม บุญวิเศษ ประกาศลงนาม “สัตยาบันแลงแคสเตอร์” ขอร่วมจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย และให้ “พลังประชารัฐ” ของอุตตม สาวนายน หยุดการรวบรวมคะแนนเสียงข้างน้อย เพื่อดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท็อปบู๊ธผู้ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศในห้วง 5 ปีที่ผ่านมาให้มีอำนาจต่อไป

เพราะพวกเขาประกาศกร้าวเอาไว้ว่า คือ “เสียงข้างมาก” ด้วยตัวเลข “ส.ส.” ที่มากกว่า สิทธิ์ในการเซ็ทอัพฟอร์มทีมรัฐบาลชุดต่อไป ควรจะเป็นของพวกเขาทั้ง 6

แต่คำถามคือ อีก 1 พรรค คือ “เศรษฐกิจใหม่” ภายใต้การนำของ มิ่งขวัญ หายไปไหน เพราะก่อนหน้านี้ เขาเองก็ประกาศให้สังคมรับรู้อยู่แล้ว ว่า “จะไม่หนุน” การสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือภาษาชาวบ้านที่ติดตามการเมือง มันมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์”

ดังนั้น ในวาระประวัติศาสตร์ที่ 6 พรรคการเมือง ซึ่งถูกคาดหมายว่าน่าจะต้องเป็น 7 พรรค เพราะต้องบวกเข้ากับ “เศรษฐกิจใหม่” ของมิ่งขวัญ แต่ปรากฎว่าไม่มีชื่อของพรรคนี้แม้แต่ในรายชื่อสัตยาบันของหัวหน้าพรรคทั้งหมด มันจึงยิ่งสร้างคำถาม และคำนินทาในคอการเมืองอย่างแพร่หลาย

หรือ “มิ่งขวัญ” จะปันใจเสียแล้ว

ไม่อาจสงสัยเป็นอื่นใดได้นอกจากว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “มิ่งขวัญ” ที่ระบุว่ามี “ภารกิจด่วน” จึงไม่ได้มาร่วมแถลงร่วมกับอีก 6 พรรค เพราะการแถลงและลงสัตยาบันประวัติศาสตร์ของทั้ง 6 พรรค ถือเป็นวาระระดับชาติที่คนทั้งประเทศและหากจะว่าไปก็ทั่วโลกกำลังมองอยู่ วันสำคัญเช่นนี้ จะมีอะไรสำหรับ “มิ่งขวัญ” ที่สำคัญมากไปกว่า

มันจึงทำให้มีข่าวลือสะพัดออกมาในวงการเมืองทันทีว่า “พลังประชารัฐ” ไปคุยกับ “เศรษฐกิจใหม่” แล้ว และน่าจะคุยกันอย่างถึงพริกถึงขิงพอสมควรถึงทำให้ไม่เห็นตัวมิ่งขวัญ และมันทำให้เก้าอี้ส.ส.อีก 6 ตัวที่เพื่อไทยน่าจะได้มาร่วมต้องสั่นคลอน

นาทีนี้ไม่ว่าจำนวนเก้าอี้ ส.ส.จะอยู่ในหลักสิบตัว หรือแม้แต่แค่ส.ส.คนเดียว ก็มีความสำคัญอย่างมากต่อสองขั้วพรรคการเมืองที่กำลังช่วงชิงแย่งกันฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ เพราะหากมองให้ลึกลงไปว่าฟากฝั่งของ “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ” สะสมเก้าอี้ส.ส.เพื่อจะแย่งการนำเป็นรัฐบาล ก็ยิ่งทำให้ต้องระทึก

นั่นเพราะมันเบียดเสียด และตีคู่กันมาอย่างมาก จนทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เข้ามาบริหารประเทศ ก็สุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะอยู่ได้ไม่ครบวาระ

เพราะ “เพื่อไทย” เอง หากรวมกับอีก 5 พรรคที่มาร่วมก๊วน โดยยังไม่นับ “เศรษฐกิจใหม่” เพราะว่ามิ่งขวัญไม่ปรากฎตัว ก็ทำให้เห็นตัวเลขเก้าอี้ส.ส.ว่ามีอยู่ในมือ 249 ตัว

ขณะที่ “พลังประชารัฐ” เมื่อรวมกับอีก 3 พรรคร่วมที่ยืนยันแน่นอนว่าจะชูมือให้ “บิ๊กตู่” สืบทอดอำนาจต่อไปอย่างไม่เคอะเขิน ทั้งของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มี “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนหลัก และพรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย ของดำรงค์ พิเดช รวมไปถึง “ประชาชนปฏิรูประเทศ” ของไพบูลย์ แต่ก็ยังไม่ขอนับรวมกับ “กระแส” ของพรรคอื่นๆ ที่ระดับบิ๊กเนมจะเข้าร่วม พวกเขามีอยู่ในมือรวมกัน ….

และแน่นอนว่า “ตัวแปร” อันสำคัญที่จะกำหนดประวัติศาสตร์การเมืองอีกบทหนึ่ง หรือผู้อยู่ตรงกลางยังไม่เลือกข้าง หรือยังไม่ชัดเจน กลุ่มนี้ถือเป็นฝ่ายชี้ขาดเลยทีเดียว ทั้ง “ภูมิใจไทย” ที่มีส.ส. 52 ที่นั่ง “ประชาธิปัตย์” มีอยู่ในมือ 55 ตัว ยังไม่นับรวมกับ “ชาติไทยพัฒนา” ที่มี 10 และ “ชาติพัฒนา” 3 เก้าอี้ ซึ่งแน่นอนสองพรรคหลังหากเห็น “ภูมิใจไทย” เทไปไหน ก็พร้อมจะตามไปเป็นรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ตัวเลขข้างบนของทุกพรรคคือระดับ “ส.ส.เขต” และ “ปาร์ตี้ลิสต์” ที่รวบรวมจากคะแนนดิบที่ได้จาก กกต. เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าขณะนี้การนับคะแนนยังหยุดเอาไว้ที่ 95% นั่นย่อมหมายความว่าตัวเลขข้างบน “ยังเปลี่ยนแปลงได้” แต่ถึงแม้จะยังไม่ระบุว่าแต่ละที่จะได้กี่มากน้อย แต่ก็คงไม่ยากเกินจะคาดเดามากนัก เพราะสุดท้ายมันจะเฉือนกันแค่ไม่กี่หน่วยของทั้งสองขั้วอำนาจทางการเมือง

เมื่อเห็นตัวเลขเช่นนี้ จึงทำให้เห็นไปถึงความสำคัญของ “มิ่งขวัญ” ที่ไม่ปรากฏตัวออกมาร่วมลงสัตยาบัน เพราะหากจะนับรวมทั้งสองขั้วการเมือง หากเราตั้งสมมุติฐานที่ว่า “ภูมิใจไทย” และ “ประชาธิปัตย์” ไม่ได้ปรากฏตัวไปร่วมลงนาม “สัตยาบันแลงคาสเตอร์” และต้องเทมาฝั่งพลังประชารัฐ ซึ่งแน่นอนว่าก็จะได้ทั้ง “ชาติไทยพัฒนา” และ “ชาติพัฒนา” มาร่วมด้วย ตัวเลขที่อุตตมจะได้เพื่อหนุนพล.อ.ประยุทธ์ให้ครองอำนาจต่อไป จะอยู่ที่ 240 เสียง ซึ่งแน่นอนว่ามันแพ้ “ฝั่งประชาธิปไตย” แต่ก็ยังได้สิทธิ์เสนอชื่อนายกฯ ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ ส.ว.จะเข้ามาร่วมโหวต และไม่มีทางอื่นที่ส.ว.จะยกมือให้กับคนอื่นมาบริหารประเทศ นอกไปจากชื่อเดียว คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เท่านั้น

แต่การเมืองในสภาหลังจากนั้น มันสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน เพราะรัฐบาลเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย และมีสิทธิ์จะถูกเสียงข้างมาก “คว่ำ”เอาได้ทุกเมื่อ