ซึ่งเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปมีผู้คนสนใจเป็นอย่างมาก และพากันวิพากย์วิจารณ์การทำงานของสรรพสามิตในทำนองรังแกประชาชน ที่ขายข้าวหมากซึ่งไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย
แต่ยังไม่ทันข้ามวันกลายเป็นคดีพลิก เมื่อสรรพสามิตออกมาแถลงว่าแท้จริงแล้วไม่ได้จับเพราะขายข้าวหมาก แต่ที่จับเพราะคุณยายแอบขายสาโท หรือสุราพื้นบ้านพ่วงด้วย โดยมีหลักฐานชัดเจนคือสาโทของกลาง 11 ถุง ถุงละ 1 ลิตร อ่านรายละเอียดข่าว https://www.thaiquote.org/content/41252
แต่กลายเป็นคดียังไม่พลิก เมื่อฝั่งทางนางเสน่ห์ ยืนยันว่าน้ำใส่ถุงที่ขายไม่ใช่น้ำสาโทตามที่โดนกล่าวอ้าง จริงๆ แล้วเป็นน้ำข้าวหมากผสมน้ำเปล่า ขายราคา 3 ถุง 50 บาท เนื่องจากมีรสชาติหวานทำให้ผู้หญิงชอบรับประทาน
ทำให้ ณ ตอนนี้ประเด็นยังหาข้อสรุปไม่ได้ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น ตั้งแต่การทำงานของสรรพสามิต หรือคำให้การของนางเสน่ห์ที่ดูไม่ชัดเจนตั้งแต่ช่วงแรกว่าแท้จริงแล้วตนเองขายอะไรกันแน่ และที่สำคัญ คือ ทั้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับของกลาง ว่าแท้จริงแล้วอยู่ในข่ายที่ผิดกฎหมายหรือไม่ โดยมีนักวิชาการออกมาให้ความเห็นว่า หากเป็นจริงอย่างที่นางเสน่ห์กล่าวอ้าง น้ำข้าวหมากจะยังไม่ถึงขั้นสาโท เพราะน้ำข้าวหมากที่นำไปผสมน้ำเปล่า แล้วเอาไปใส่ถุงขาย จะเหมือนน้ำหวานที่มีแอลกอฮออล์บาง ๆ เท่านั้น เจ้าหน้าที่ไม่ควรลงโทษป้าที่ขายเพราะเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก และคาดว่าน้ำข้าวหมากก็คือน้ำข้าวที่เหลือนอนก้น จึงนำมาผสมน้ำขาย ไม่ได้หมักต่อจนเป็นน้ำสาโท อ่านรายละเอียดข่าว https://www.thaiquote.org/content/41358
ซึ่งสิ่งที่จะพิสูจน์ข้อเท็จได้คงต้องนำน้ำของกลางทั้ง 11 ถุง ที่ทางสรรพสามิตยึดได้มาทำการตรวจสอบในส่วนของปริมาณแอลกอฮอล์ หากแต่เวลาได้ล่วงเลยมาแล้วเกือบ 1 เดือน ซึ่งไม่รู้ว่าของกลางเหล่านั้นตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว และสามารถจะนำมาตรวจสอบได้หรือไม่
คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสรุปแล้วเรื่งนี้จะจบลงอย่างไร หรือจะมีดราม่าประเด็นอื่นๆ ตามมาหรือไม่