“รถยนต์ไฟฟ้า” กำลังจะมา เมื่อ 2 ค่ายยักษ์ ปักหมุดในไทย

“รถยนต์ไฟฟ้า” กำลังจะมา เมื่อ 2 ค่ายยักษ์ ปักหมุดในไทย


ในปี 2560 ที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ดูจะมีภาษีดีกว่า เมื่อเริ่มจับจองพื้นที่ตลาดนี้ตั้งแต่ต้นปี  ด้วยการขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ในรุ่น BMW 330e Luxury และ BMW X5 xDrive40e M Sport ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวถึงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยของบริษัทว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา มียอดการส่งมอบรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้า และรถยนต์ในระบบปลั๊กอิน กว่า 100,000 คันทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย  ส่วนของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีการเติบโตก้าวกระโดดจากปี 2559 ถึง 269% ซึ่งทำให้เชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย ยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต โดยยอดขาย 10 เดือนแรกของปี 2560 ในไทย เป็นรถยนต์ในตระกูล iPerformance และEV ถึง 852 คัน ซึ่งประเทศไทยและมาเลเซียถือเป็นประเทศที่ยอดขายรถยนต์ในตระกูล iPerformance เติบโตมากที่สุดของโลก   แน่นอนว่า บีเอ็มดับเบิล ยู ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้  โดยเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ได้ลงนามความร่วมมือกับ ChargeNow เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า 50 สถานีทั่วประเทศในระยะแรก ก่อนที่ในปีนี้จะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่งทั่วประเทศ รวมไปถึงแผนการจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะใช้พื้นที่ของ EEC ด้านเมอร์เซเดส-เบนซ์  ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ( ประเทศไทย) ประกาศชัดเจนว่า ปี 2561 เพื่อการรักษาแบรนด์รถยนต์ที่รองรับตลาดในอนาคต จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายนี้อย่างแน่นอน   และเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2561 เมอร์เซเดส-เบนซ์  ได้ร่วมกับ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ลงทุนตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในไทย เป็นแห่งแรกภูมิภาค และขยายโรงงานการผลิตรถยนต์ ด้วยวงเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท ระยะสัญญาตั้งแต่ปี 2561-2563  โดยการลงทุนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก BOI ด้านการให้สิทธิประโยชน์ ในการขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของรถยนต์ Plug-in Hybrid และ EV ในประเทศไทย   “ในปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ทำตลาดรถยนต์ที่ประกอบภายในประเทศรวมทั้งหมด 9 รุ่น โดยรุ่นที่เป็นรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้ง C-Class, S-Class และ GLE ในเวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดที่เปิดตัวในช่วงต้นปี 2559 และล่าสุดคือรุ่น E 350e Avantgarde, E 350e Exclusive และ E 350e AMG Dynamic”   สำหรับการตั้งโรงงานดังกล่าว แสดงให้เห็นท่าทีของ เมอร์เซเดส-เบนซ์   ซึ่งกำลังจะกระโดดเข้าร่วมวงอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มตัว โดยหมายมั่นใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลัก โดยตั้งเป้าในปี 2565 ที่จะถึงนี้บริษัทจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 50 รุ่น นอกเหนือสิ่งอื่นใดการเดินหน้าด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ของค่ายรถหรูยักษ์ใหญ่ของโลก ทั้ง 2 ค่ายนี้ จะช่วยพัฒนาศักยภาพแรงงานของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดย นายวีระชัย เชาวน์ชาญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด กล่าวว่า ธนบุรีประกอบรถยนต์สามารถผลิตรถยนต์ให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มากกว่า 12,000 คันในปี 2560  โดยปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีพนักงานกว่า 1,000 คน และคาดการณ์ว่าเมื่อโครงการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เสร็จสมบูรณ์ จะช่วยสร้างงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 ตำแหน่ง โดยในจำนวนนี้จะเป็นการจ้างงานในส่วนของการผลิตแบตเตอรี่เกือบ 100 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามการสร้างโรงงานดังกล่าวในประเทศไทย จะช่วยให้พนักงานได้รับการสร้างเสริมความรู้ความชำนาญในการผลิตและความรู้ทางเทคนิคสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด สร้างทักษะฝีมือขั้นสูงให้กับบุคลากร