เป็นแนวคิดสำคัญที่ทำให้ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อรองรับกับ “โอกาสของประเทศ” ที่กำลังจะมาถึง โดยเดินสายไปแสดงปาฐกถาในเวทีสำคัญๆ ต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงโอกาสและแนวนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเวที “ Move Thailand 4.0 ยกระดับอุตสาหกรรม เทคโนโลยี” ครั้งล่าสุด เมื่อถอดรหัสจากภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ตามคำกล่าวของ รองนายกรัฐมนตรี ย่อมเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงและสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะในเรื่องของการส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหัวใจของภาคเศรษฐกิจไทย ด้วยปัจจัยสำคัญแห่งการฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจโลก จึงเป็นที่มาของนโยบายของรัฐบาล ที่สร้างแนวทางการปฏิรูป พัฒนาเพื่อรองรับกับความเชื่อมั่นที่ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นอย่างแน่นอนในปี 2561 นี้ ตัวเลขงบประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาท บวกกับนโยบายที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำแก้ไขปัญหาความยากจน ปฏิรูปภาคการเกษตร หนุนภาคการท่องเที่ยวในชุมชน และอุตสาหกรรมยุคใหม่ เพื่อรองรับการมาของ ดิจิทัลอีโคโนมี และการสร้าง START-UP สร้างผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันบนเวทีการค้ายุคใหม่ของโลก คือภาพรวมๆ ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริม ที่รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า เรื่องนี้ อยู่ในมือและจิตสำนึกความรับผิดชอบของคนไทยทุกคน ที่ต้องเร่งทำให้นโยบายนี้เห็นเป็นรูปธรรมให้ได้ภายในเวลาอันจำกัดที่มีอยู่ เพราะกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลก มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาค ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง การเติบโตของจีน และการขยายอิทธิพลทางความมั่นคงและเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ จากนโยบาย “วันเบลท์ วันโรด” กำลังถูกท้าทาย โดยการเติบโตของ นโยบาย “อินโด-อาเซียน” ที่มีเวทีการประชุมที่นิวเดลี เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ทั่วทั้งโลก โฟกัสมาที่เอเชีย และอาเซียน ! ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียน จึงเป็นโอกาสที่จะต้องเตรียมพร้อมและพัฒนาเพื่อรองรับและเดินหน้าไปพร้อมๆ กับเวทีการค้าโลก ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยมีโครงการสำคัญๆ อย่าง EEC ในแนวของเส้นทางอีสเวสต์คอร์ริดอร์ ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุน และการพัฒนาเติบโตในด้านอุตสาหกรรม และในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศไทย จำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ ทั้งในเรื่องของโครงสร้างการคมนาคม การสื่อสาร และในเรื่องของบุคลากร ที่รัฐบาลเน้นย้ำให้เกิดขึ้นเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบจากเวทีการค้าโลก และภูมิภาคที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญนี้ สอดรับไปกับ เรื่องของเศรษฐกิจแบบดิจิทัลอีโคโนมิค ที่จะเป็นกุญแจเปิดประตูสู่โลกการค้ายุคใหม่ ซึ่งทุกประเทศเองก็กำลังพัฒนาและเดินหน้าไปกับโลกการค้าแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยต้องตื่นตัวและให้ความสำคัญในการพัฒนา ขณะที่ในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศก็ต้องมีการพัฒนาปฏิรูประบบของการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อก้าวให้ทันกับการค้าของโลกและโอกาสที่กำลังจะเข้ามาในภูมิภาคนี้ให้ทันท่วงที จากวลีของรองนายกรัฐมนตรีที่ว่า “อนาคตประเทศไทยอยู่ในมือของเรา เราเริ่มเองว่าเราจะมองแบบไหน ถ้าจะให้เมืองไทยไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงสู้คนอื่นเขาได้ ต้องพยายามผลักดันให้ EEC เกิดขึ้นมา จะเกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้ เลือกกันเอาเอง แต่หน้าที่ของรัฐบาลนี้คือทำให้เกิดให้ได้” แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโครงการนี้ ที่จะเป็นจุดพลิกชะตา กำหนดของอนาคตของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ อยู่ในกำมือของคนไทยที่จะต้องช่วยกันผลักดัน เพราะโอกาสแบบนี้ ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่จะต้องร่วมมือกัน และเป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ที่ไม่เพียงแต่จะรอไม่ได้ แต่ยังต้องตั้งใจและจริงจัง รัฐบาลมีหน้าที่เป็นผู้ผลักดันเท่านั้น แต่จะเดินหน้าได้หรือไม่? คงขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคน ที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจในการก้าวสู่อนาคต ก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก สู่อนาคตของประเทศ เป็นอนาคตร่วมกันเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ ที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน….และรองนายกฯ เองก็เน้นย้ำว่า “ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน” เพราะการสร้างอนาคตของประเทศร่วมกัน เป็นเรื่องของคนไทยทุกๆ คน