ท๊อป-จิรายุส ชี้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินยุคใหม่ บิทคอยน์ถูกชูเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคต ด้วยจำนวนจำกัดและมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในวันนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่งในวันพรุ่งนี้
งาน Wow Festival 2025: From Salary to City จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมแนวคิดการสร้างเมืองแห่งความยั่งยืนและแนวทางการลงทุนที่มั่นคงในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม งานจัดขึ้น ณ สวนเบญจกิติ รวมกิจกรรมเวิร์กช็อป นิทรรศการนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ และการเสวนาจากผู้นำความคิดในหลากหลายวงการ
ในงานนี้ ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบิทคับ ได้กล่าวถึงความสำคัญของเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะบิตคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีปริมาณจำกัดและจะกลายเป็นรากฐานของความมั่งคั่งในอนาคต พร้อมเน้นย้ำว่าการสร้างเมืองที่ยั่งยืนต้องเชื่อมโยงสุขภาพและความมั่งคั่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถรับมือกับความท้าทายของโลกยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมืองที่ยั่งยืน กับการลงทุนที่ยั่งยืน
ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวในงาน “Wow Festival 2025: From Salary to City” ถึงแนวทางการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและอนาคตทางการเงินที่มั่นคง โดยชี้ว่าเทคโนโลยีและสุขภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดคุณภาพชีวิตในอนาคต เขาเน้นให้เห็นความสำคัญของการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีจำกัดอย่างบิตคอยน์ ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นและปริมาณมีจำกัด
โดยระบุว่า เมืองที่มั่งคั่งต้องอาศัยประชากรที่มีสุขภาพดีและมีความมั่นคงทางการเงิน การเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพ (Health) และความมั่งคั่ง (Wealth) จึงเป็นหัวใจสำคัญ พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ผู้คนจะมีอายุยืนยาวขึ้น และการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพจะต้องอาศัยทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน
โอกาสสำหรับคนรวยหรืออนาคตของทุกคน?
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เปิดเผยถึงมุมมองเรื่องสุขภาพและการยืดอายุขัยในโลกยุคใหม่ โดยเล่าว่าเขาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพเมื่อผลการตรวจวัดอายุทางชีวภาพ (Biological Age) พบว่า แม้อายุจริงจะอยู่ที่ 49 ปี แต่สภาพร่างกายเทียบเท่าคนอายุ 59 ปี ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้เงินเกือบ 5 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาเพื่อซ่อมแซมร่างกายที่เสื่อมลง เขาเปรียบสุขภาพเหมือนกับการเป่าเค้กวันเกิดทุก 14 เดือน เพราะอายุร่างกายแก่เร็วกว่าปกติ
“แนวคิดเรื่องการยับยั้งความแก่หรือโรคภัยต่าง ๆ เคยเป็นเพียงไอเดีย แต่วันนี้เทคโนโลยีอย่าง AI สามารถเจาะลึกถึงระดับโมเลกุล ทำให้ความเป็นไปได้ในการรักษาโรคร้าย เช่น เอชไอวีหรือมะเร็ง กำลังใกล้ความจริง เซลลูลาร์ เอ็นจิเนียริ่ง (Cellular Engineering) จะสามารถย้อนสภาพเซลล์หัวใจให้กลับมาอ่อนเยาว์ได้” ท๊อปกล่าว
เขาเน้นว่าเป้าหมายในตอนนี้คือการยืดเวลาและชะลอความเสื่อมของร่างกาย แต่นั่นทำให้เกิดคำถามใหม่ว่า “ใครจะยอมจ่ายปีละ 5 ล้านบาทเพื่อรักษาสุขภาพให้อยู่ได้นานถึง 100 หรือ 500 ปี?” ซึ่งการซื้อชีวิตแม้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้เพราะต้นทุนสูง
ท๊อปยังเชื่อมโยงประเด็นนี้กับปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยชี้ว่าความมั่งคั่งของประชาชนจะเกิดขึ้นได้เมื่อประเทศชาติมั่งคั่งเช่นกัน ขณะเดียวกัน สถิติชี้ให้เห็นถึงความท้าทายด้านประชากรที่คนไทยเกิดน้อยกว่าตาย และคนไทยแท้จะเหลือเพียง 50% เพราะคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ไม่ใช่เพราะไม่ต้องการ แต่เพราะไม่มีเวลาและทรัพยากรเพียงพอ
“ลองคิดดูว่าเราลงทุนเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในระบบการศึกษากว่า 10 ปี แต่หากเราต้องมีชีวิตยืนยาวถึง 100 ปี เท่ากับเราต้องทำงานมากกว่า 50 ปี รีสกิลและอัพสกิลของเราเพียงพอหรือไม่ที่จะรับมืออนาคตนั้น? การพัฒนาศักยภาพจึงสำคัญ และมันเชื่อมโยงกับทุกอย่าง ทั้งสุขภาพ เงิน งาน และประชากร”
คุณภาพชีวิตดี แต่ความมั่งคั่งกระจุกตัว
ท๊อปจิรายุส ยกตัวอย่างคำกล่าวของ อีลอน มัสก์ ว่าโลกอนาคตทุกบ้านจะมีหุ่นยนต์ (Robot) ที่สามารถทำงานทุกอย่างได้เสมือนมนุษย์ แต่มีราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท พร้อมชี้ให้เห็นว่าเมื่อเอไอถูกพัฒนาให้มีความฉลาดกว่ามนุษย์ ไม่ต้องกินอาหาร และสามารถยกของหนักได้ จะส่งผลให้หุ่นยนต์กลายเป็นทรัพยากรการผลิตที่ไร้ขีดจำกัด หากคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยคูณด้วยจำนวนหุ่นยนต์แทนประชากร จะเกิดความมั่งคั่งมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งหมายความว่าในอนาคตมนุษย์ส่วนใหญ่มีโอกาสตกงาน เพราะเครื่องจักรสามารถทำงานทุกอย่างแทนได้
อย่างไรก็ตาม มัสก์เตือนถึงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น เพราะคนที่ผลิตหุ่นยนต์จะกลายเป็นผู้มั่งคั่งมหาศาล การลงทุนแบบดั้งเดิมจึงอาจใช้ไม่ได้ในอนาคต แนวคิดการลงทุนใหม่ ๆ จะต้องเปลี่ยนไปเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ที่สินค้าและบริการจะมีต้นทุนใกล้ศูนย์ (Zero Marginal Cost) ทุกคนจะสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้ง่ายดาย การปรับตัวทางการเงินและการลงทุนจึงสำคัญต่อการสร้างความมั่นคงในโลกยุคหุ่นยนต์
ลงทุนอนาคต
ท่ามกลางโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด ท๊อปจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ชี้ว่าในยุคที่ผลิตภาพ (Productivity) สามารถเพิ่มขึ้นไม่จำกัด การลงทุนที่เน้นสิ่งซึ่งมีข้อจำกัดแท้จริงจะมีความสำคัญมากขึ้น เช่น ที่ดินและทองคำ ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็นทรัพยากรจำกัด แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นพื้นดิน หรือสร้างเพชรจากหินได้แล้ว สิ่งเหล่านี้จึงอาจไม่จำกัดจริงในอนาคต
ในทางกลับกัน บิทคอยน์ถือเป็นสินทรัพย์เดียวที่มีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง ด้วยจำนวนสูงสุดเพียง 21 ล้านเหรียญทั่วโลก และมีโครงสร้างที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีและเอไอ จิรายุสสรุปว่าอนาคตการลงทุนต้องเปลี่ยนแนวคิด เพราะการใช้ระบบเงินกระดาษกับระบบเศรษฐกิจใหม่ไม่อาจขับเคลื่อนได้ และบิทคอยน์จะเป็นส่วนสำคัญของสมการความมั่งคั่งในยุคต่อไป
เพราะบิทคอยน์มีข้อดีหลักคือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไม่มีตัวกลาง ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็วและค่าใช้จ่ายต่ำ อีกทั้งมีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญทั่วโลก เพราะระบบถูกออกแบบให้ขุดเพิ่มได้ตามกฎที่ควบคุมโดยซอฟต์แวร์ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อและสร้างมูลค่าในระยะยาว
โอกาสแห่งความมั่งคั่งในอนาคต
ในช่วงวิกฤตโควิด เราเห็นแล้วว่าการไม่ลงทุนสร้างความเสียหายอย่างไร การฟื้นตัวเป็นเรื่องยาก ถ้าเราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่ดี เราต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเงิน และบิทคอยน์คือคำตอบสำหรับอนาคต
“อนาคตของโลกการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าทุกประเทศเริ่มสะสมบิทคอยน์ การตัดสินใจช้าอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นมหาศาลในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศเล็ก ๆ อย่างภูฏานยังเริ่มลงมือแล้ว ?
บิทคอยน์ไม่ได้เป็นแค่สินทรัพย์ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่อาจนำเราไปสู่ความมั่งคั่งในยุคใหม่ ตระกูลที่ถือครอง 1 บิทคอยน์ในอนาคต จะเป็นตัวแทนแห่งความร่ำรวยที่ต้องคารวะ !” ท๊อปทิ้งท้าย