การเปลี่ยนผ่านจากการผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล สู่พลังงานสะอาด เพื่อลดโลกร้อน ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น โดย SCB EIC วิเคราะห์ธุรกิจโรงไฟฟ้าปี 2568 กลุ่มพลังงานหมุนเวียนเติบโตเด่น ขณะที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกผลักดันให้เร่งปรับตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีมาช่วยลดคาร์บอน เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
แรงกดดันจากทั่วโลก รวมถึงในไทย ผ่านแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Thailand Power Development Plan – PDP 2567 – PDP 2567) เพื่อลดผลกระทบโลกร้อน ด้วยการเปลี่ยนผ่านการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน เป็นต้น สู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ทำให้แนวโน้มจากนี้จะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมนเวียนทั่วโลก ขณะที่โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจะถูกผลักดันให้เร่งปรับตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีมาช่วยลดคาร์บอน เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage -CCS)
ภาพรวมการใช้ไฟฟ้าปี 2568 คาดขยายตัว 2.5%
โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ ความต้องการใช้ไฟฟ้าในไทยปี 2568-2571 ว่า ยังคงเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มของการผลิตไฟฟ้านอกระบบทยอยเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้คาดว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งในและนอกระบบการไฟฟ้าจะขยายตัว 2.5% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569-2571 จากการส่งเสริมการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบของการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement – Direct PPA) และการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Independent Power Supply -IPS) ที่มากขึ้น
คาดค่าไฟฟ้าปี 68 ใกล้เคียงปีนี้ ที่ 4.1-4.2 บาทต่อหน่วย
ขณะที่ค่าไฟฟ้าปี 2568 คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงปี 2567 ที่ 4.1-4.2 บาทต่อหน่วย จากนโยบายลดค่าพลังงานของรัฐบาล ส่วนในปี 2569-2571 คาดว่าค่าไฟฟ้าจะทยอยลดลงและต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยในปี 2571 จากราคาก๊าซธรรมชาติโลกที่ลดลง
การผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล
เผชิญแรงกดดดันจากแผน PDP 2567
ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลจะมีแรงกดดันที่มากขึ้นจากการลดสัดส่วนการผลิตในระยะยาวตามร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development plan – PDP 2567) ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่ใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพการผลิตต่ำหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas- GHG) สูง และจะมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากการนำเชื้อเพลิงสะอาดทดแทนอย่างไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเข้ามาเป็นเชื้อเพลิง
ปี 68 การผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยโตต่อเนื่อง
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนปี 2568 ในไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 5% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยที่ 7% ในปี 2569-2571 จากทั้งแผนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date- COD) จากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy -RE) ที่ทยอยเข้าระบบราว 700-1,000 เมกะวัตต์ต่อปี
พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ขยะชุมชน มาแรง
โดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ชีวมวล และขยะชุมชน รวมถึงความต้องการไฟฟ้านอกระบบ (IPS/SPP direct) และสัญญาการซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์จากระบบโซลาร์เซลล์ ระหว่างบริษัทผู้ใช้บริการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่จะลงทุนติดตั้ง กับโรงงานที่ต้องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ (Private PPA) ที่หนุนให้การผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น
โดยแนวโน้มประเมินว่า ในระยะข้างหน้าจนถึงปี 2573 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 3,731 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
แรงหนุนจากแผน PDP 2567 เพิ่มสัดส่วน
ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 51% ภายในปี 2580
นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากแผน PDP 2567 ที่เพิ่มสัดส่วน RE มากกว่า 51% ภายในปี 2580 โดยจะมีกำหนด COD ราว 3,700 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 และมีมากกว่า 31,000 เมกะวัตต์ ที่จะทยอย COD ตั้งแต่ 2574-2580
ทั่วโลกแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะทวีปเอเชียและออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามจากการที่จะมีอัตราค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มบวกจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติ (Adder) กว่า 2,000 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยครบกำหนดมากกว่า 50% ในปี 2567-2568 ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของโรงไฟฟ้า RE ในกลุ่มโซล่าเซลล์ และพลังงานลม ที่มีรายได้อิงกับ Adder
ปี 68 แผงโซลาร์เซลล์โตแต่ในอัตราที่ชะลอตัว
SCB EIC ยังวิเคราะห์ความต้องการแผงโซลาร์เซลล์ยังคงเติบโตได้ดีในปี 2568 แต่ในอัตราที่ชะลอลง และคาดว่าจะชะลอลงต่อเนื่องไปถึงในช่วงปี 2569-2571 เนื่องจากตลาดจีนและตลาดยุโรปที่เป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดมีอัตราเติบโตของความต้องการแผงโซลาร์เซลล์ที่ชะลอตัวลงจากที่เคยเติบโตสูงในช่วงปี 2562-2566
อย่างไรก็ตาม ความต้องการแผงจะขยายตัวราว 9% ในปี 2568 และกําลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจาก
- ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีมากขึ้นของหลายประเทศ
- ราคาของแผงโซลาร์และราคาแบตเตอรี่ที่ทยอยลดลงจะหนุนให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลดลงอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ต้องจับตาในระยะข้างหน้า คือ สถานการณ์กำลังการผลิตของแผงโซลาร์เซลล์เกินความต้องการ ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มราคาในปี 2568 ที่คาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากอุปทานที่ล้นตลาดของแผงโซลาร์โดยเฉพาะในประเทศจีน การแข่งขันของผู้ผลิต Module ที่รุนแรงมากขึ้น และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไวจนผู้ผลิตต้องขายสินค้าที่ค้างสต็อกในราคาส่วนลด และคาดการณ์ว่าภาวะนี้จะยังคงมีอยู่ต่อเนื่องไปในปี 2568
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ และความเสี่ยงของผู้ประกอบการจากการแข่งขันในด้านราคาซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้กลยุทธ์ด้าน ESG (Environmental Social Governance – ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) เป็นประเด็นสำคัญที่เร่งให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าถูกผลักดันให้ปรับตัว จากเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ( Carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net zero emission) ทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ ที่กดดันให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูงต้องเร่งศึกษาและนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดคาร์บอนมาใช้ เช่น ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ, การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage -CCS) และเร่งเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วนมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้าบางชนิดก็เริ่มได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate change) ที่ทำให้การผลิตไฟฟ้าลดลง เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ที่ลดลงจากสถานการณ์เอลนีโญ เป็นต้น