เจาะลึก! 4 มหาอำนาจ เปิดศึกแย่งชิงทรัพยากร “แร่หายาก” (Rare Earth) หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสีเขียว

เจาะลึก! 4 มหาอำนาจ เปิดศึกแย่งชิงทรัพยากร “แร่หายาก” (Rare Earth) หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสีเขียว

โลกกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของพลังงาน จากยุคน้ำมันสู่ยุคพลังงานสะอาด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว กลับกลายเป็นสนามรบใหม่ระหว่าง 4 ประเทศมหาอำนาจเพื่อแย่งชิงทรัพยากรแร่หายาก ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อควบคุมแหล่งแร่หายาก (Rare Earth) โดยเฉพาะลิเธียม ทองแดง โคบอลต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสีเขียว

 

 

แร่หายาก (Rare Earth) คืออะไร?

 

แร่หายาก (Rare Earth) หมายถึงธาตุที่มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน 17 ธาตุ ซึ่งอยู่ในกลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanide series) ถ้าจินตนาการถึงตารางธาตุ มันคือแถบที่อยู่ด้านล่างสุด ครอบคลุมธาตุที่มีเลขอะตอมตั้งแต่ 57 ถึง 71 รวมทั้งสแกนเดียม (Scandium) และอิตเทรียม (Yttrium)

ซึ่งจริง ๆ แล้ว แร่หายากอย่างทูเลียม มีจำนวนมากกว่าทองคำในเปลือกโลก 125 เท่า และซีเรียมมีมากกว่าทอง 15,000 เท่า แต่ที่ได้ชื่อว่าหายาก เพราะในขณะที่ทองคำ “อยู่เป็นกลุ่มก้อน” แต่แร่หายากกลับ “อยู่กระจัดกระจายอย่างละเล็กละน้อยไปทั่วโลก” แต่ด้วยคุณสมบัติ  พวกมันต้องผ่านการสกัด และทำให้บริสุทธิ์ มีวิธีการหลายขั้นตอน ซึ่งต้องใช้ เทคโนโลยีขั้นสูง ต้นทุนสูง

ยิ่งไปกว่านั้น การสกัดแร่หายาก ยังก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมา หลายประเทศจึงเลือกที่จะนำเข้าแร่หายากนี้จากประเทศอื่นแทน ซึ่งประเทศที่ครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากและพบแหล่งแร่นี้มากที่สุดในโลก ก็คือ “จีน”

 

 

แร่หายากสำคัญอย่างไร ทำไมต้องแย่งชิง?

 

ปัจจุบัน ชีวิตประจำวันของเรากำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินที่สะดวกสบายผ่านการสแกนแทนการใช้เงินสด รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจากคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความต้องการชิปที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในการผลิตชิปนั้น วัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ “แร่หายาก” หรือ “Rare Earth” ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเพียงแค่การผลิตชิปเท่านั้น แร่หายากยังถูกนำไปใช้ในการผลิตแม่เหล็กแบบถาวร (Permanent Magnet) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า มอเตอร์ในกังหันลม รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ ลำโพง หูฟัง คอมพิวเตอร์ และอากาศยาน รวมถึงการใช้ในอุปกรณ์ทางทหาร เช่น เรดาร์ ขีปนาวุธ และเครื่องบินรบ เป็นต้น

 

ที่สำคัญการใช้งานแร่หายากในการทหาร ยังมีความต้องการที่มหาศาลมาก เช่น

  • เครื่องบินขับไล่ F-35 ของสหรัฐฯ ต้องการแร่หายากประมาณ 417 กิโลกรัม
  • เรือพิฆาตชั้น Arleigh Burke ใช้แร่หายากมากกว่า 2 ตัน
  • เรือดำน้ำชั้น Virginia ใช้แร่หายากประมาณ 4 ตัน

 

ด้วยเหตุนี้ ความสำคัญของแร่หายากจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดิจิทัลมากขึ้น และการใช้พลังงานสะอาดจากกังหันลมและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มสูงขึ้น ความต้องการแร่หายากจึงคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

 

 

ผู้เล่นหลักในสงครามทรัพยากร

 

สำหรับมหาอำนาจสำคัญ 4 ประเทศ ได้แก่ จีน สหรัฐ รัสเซีย และสหภาพยุโรป  กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อควบคุมแหล่งแร่หายาก โดยเฉพาะลิเธียม ทองแดง โคบอลต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสีเขียว

 

จีน ราชาแห่งแร่หายาก

 

ทั้งนี้ จีนยังครองแชมป์ปริมาณสำรองแร่หายากมากที่สุดในโลก และผลิตแร่หายากสูงสุดของโลก ถึง 90% หรือ ที่ 44 ล้านเมตริกตัน และยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในปี 2024 ด้วยกำลังการผลิตถึง 270,000 ตัน

จีนยังได้ดำเนินมาตรการควบคุมการทำเหมืองแร่หายากผิดกฎหมายมาเป็นเวลาหลายปี โดยปิดเหมืองที่ไม่ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและจำกัดการผลิตและการส่งออก ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้เริ่มผ่อนคลายลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และจีนได้เพิ่มโควต้าการทำเหมืองหลายครั้ง

นอกจากนี้ จีนและสหรัฐฯ กำลังอยู่ในสงครามการค้าเกี่ยวกับแร่หายาก เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างต้องการครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีระดับโลก โดยจีนได้สั่งห้ามการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็กแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023

 

สหรัฐ พยายามลดการพึ่งพา

 

เมื่อไปดูตัวเลขการผลิตแร่หายากของสหรัฐฯ สหรัฐฯครองอันดับ 2 ในการผลิตแร่หายากในปี 2024 ด้วยกำลังการผลิต 45,000 ตัน แต่มีปริมาณสำรองแร่หายากอยู่ที่ 1.9 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ ทำเหมืองแร่หายากเพียงแห่งเดียวที่เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นของบริษัท MP Materials (NYSE:MP)

ทั้งนี้ ในยุคทรัมป์ สหรัฐดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อลดการพึ่งพาจีน ล่าสุด มีการเจรจากับยูเครนเพื่อเข้าถึงแร่หายากแลกกับความช่วยเหลือทางทหารในสงครามรัสเซียกับยูเครน รวมถึงมีแผนสร้างโรงงานถลุงแร่ในฐานทัพกระทรวงกลาโหม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรสำคัญ

 

ส่วนประเทศที่ผลิตแร่หายากได้ ในปี 2024 เป็นอันดับรองลงมาได้แก่ เมียนมา ออสเตรเลีย ไทย ไนจีเรีย อินเดีย และรัสเซีย แต่ 8 ประเทศที่มีแร่หายากสำรองมากที่สุดในโลก ปี 2024 ไม่ใช่ 8 ประเทศที่ผลิตแร่หายากได้มากที่สุดในปี 2024 ประกอบด้วย

1.จีน  สำรองสูงสุด 44 ล้านตัน

2.บราซิล สำรองสูงสุด 21 ล้านตัน

3.อินเดีย สำรองสูงสุด 6.9 ล้านตัน

4.ออสเตรเลียมี สำรองสูงสุด 5.7 ล้านเมตริกตัน

5.รัสเซีย สำรองสูงสุด 3.8 ล้านตัน

6.เวียดนาม สำรองสูงสุด 3.5 ล้านตัน

7.สหรัฐฯ สำรองสูงสุด 1.9 ล้านตัน

8.กรีนแลนด์ สำรองสูงสุด 1.5 ล้านตัน

 

 

สนามรบใหม่ของโลก

 

การขุดลิเธียมและโลหะหายาก การแข่งขันใน “สามเหลี่ยมลิเธียม” ของละตินอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความต้องการลิเธียมและโลหะหายากอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ประเทศในละตินอเมริกา โดยเฉพาะอาร์เจนตินา โบลิเวีย และชิลี ถูกเรียกว่า “สามเหลี่ยมลิเธียม” เนื่องจากมีแหล่งลิเธียมที่สำคัญและถือครองทรัพยากรนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก

 

ในปี 2566 ชิลีได้ประกาศนโยบายควบคุมอุตสาหกรรมลิเธียมเพื่อพยายามลดการพึ่งพาต่างชาติและเพิ่มความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเอง นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงในซัพพลายเชนและยกระดับเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ยังได้สร้างความตึงเครียดในภูมิภาคและทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างประเทศมหาอำนาจ

 

จีนได้แสดงความสนใจในทรัพยากรลิเธียมของสามเหลี่ยมลิเธียมอย่างชัดเจน โดยการขยายอิทธิพลผ่านการเข้าซื้อเหมืองและโรงงานแปรรูป ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่ประเทศตะวันตกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากจีนสามารถควบคุมซัพพลายเชนลิเธียมได้สำเร็จ การแข่งขันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังเป็นการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของซัพพลายเชนทั่วโลก

 

 

นอกจากการขุดลิเธียมแล้ว ความต้องการโลหะหายากอื่น ๆ เช่น นิกเกิล โคบอลต์ และทองแดงก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ หันไปสู่ “การขุดแร่ใต้ทะเล” เพื่อค้นหาแหล่งทรัพยากรใหม่ ๆ บริษัท The Metals Co. ได้พยายามขุดแร่จากมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงและท้าทาย เนื่องจากยังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นี้

 

การขุดแร่ใต้ทะเล

 

แม้ว่าการขุดแร่ใต้ทะเลจะได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศที่มองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศทางทะเล การขุดแร่ในทะเลอาจทำลายถิ่นที่อยู่ของสัตว์ทะเลและส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

ในท้ายที่สุด การแข่งขันเพื่อควบคุมทรัพยากรลิเธียมและโลหะหายากในละตินอเมริกาและมหาสมุทรยังคงดำเนินต่อไป โดยประเทศต่าง ๆ ต้องจัดการกับความท้าทายระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมให้มีความสมดุล การทำความเข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกฝ่าย

 

 

บทสรุป สมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

 

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของกระบวนการพัฒนาพลังงานสะอาดในบริบทโลก

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจประกอบด้วย

  1. ความท้าทายด้านความเป็นธรรม การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ควรมุ่งแต่เพียงการลดก๊าซเรือนกระจก แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป มิเช่นนั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมได้
  2. การพึ่งพาแร่หายาก ประเทศไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดในการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่
    • กระจายแหล่งการนำเข้าแร่หายาก
    • ลงทุนในเทคโนโลยีการรีไซเคิล
    • พัฒนามาตรฐานเหมืองแร่ที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
  3. สงครามทรัพยากร แม้ว่าความขัดแย้งอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่องค์กรที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมจะได้เปรียบในระยะยาว

 

สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจึงไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรอบด้าน

 

ทางออกที่น่าสนใจ

  • เทคโนโลยีชีวะการทำเหมือง (Biomining)
  • การรีไซเคิลแบตเตอรี่
  • การขุดแร่จากอวกาศ (อยู่ระหว่างการพัฒนา)

สำหรับประเทศไทย การกระจายห่วงโซ่อุปทาน พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล และยกระดับมาตรฐานเหมืองแร่ยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้

 

 

 

อ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/blogs/environment/1172699

https://www.imctnews.com/news_details-news-7360.html

https://www.amarintv.com/spotlight/world/507493

https://www.bangkokbiznews.com/business/1060034

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

เมื่อ ‘Sunwoda’ ยักษ์ใหญ่ Top 10 โลก ทุ่มทุน 5 หมื่นล้าน ตั้งฐานผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ในไทย จะพลิกโฉมอุตสาหกรรม EV อย่างไร?