การดูแลทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเป็นกุญแจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ESG Well-being จะช่วยเสริมสร้างความสุข ความสมดุล และความแข็งแรงในชีวิต พร้อมทั้งสร้างสังคมที่มีคุณภาพและความยั่งยืนไปพร้อมกัน
โดย อาจารย์กฤษณ์ รุยาพร
Co-Founder IDGs Asia Pacific Innovation Center -Leadership Hub Thailand CEO University of Happiness
ผู้แต่งหนังสือขายดี :
ศาสตร์ผู้นำสู่ความยั่งยืน, เหนือกว่ากำไร,
Well-Being Leader, DNA Of Leadership Happiness
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับโลก ความสมดุลระหว่างสุขภาพจิตและสุขภาพกายเป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึง ESG (Environmental, Social, Governance) Well-being ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนในระดับบุคคล องค์กร และสังคมโดยรวม บทความนี้จะพาไปสำรวจแนวคิดของ Happy Mind, Healthy Body ในการสร้าง ESG Well-being และผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งตัวเราและโลกใบนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพจิต สุขภาพกาย และ ESG Well-being
สุขภาพจิตและสุขภาพกาย เป็นสององค์ประกอบที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน หากสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็มักจะดีตาม และในทางกลับกัน หากสุขภาพกายสมบูรณ์ สุขภาพจิตก็มักจะมั่นคง
ในมุมมองของ ESG:
- Environmental (สิ่งแวดล้อม): การรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การลดมลพิษทางอากาศและน้ำ มีผลโดยตรงต่อสุขภาพกายของเรา เช่น การลดความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากมลพิษ
- Social (สังคม): การสร้างชุมชนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต เช่น การจัดโปรแกรมฝึกสมาธิในที่ทำงาน ช่วยสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในองค์กร
- Governance (ธรรมาภิบาล): องค์กรที่มีนโยบายดูแลพนักงานอย่างยั่งยืน เช่น การให้วันหยุดพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพจิต ส่งผลให้พนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
หลักการ Happy Mind, Healthy Body ในการสร้าง ESG Well-being
- Happy Mind
การมีสุขภาพจิตที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชีวิตที่มีความสุขและสมดุล แนวคิด “Happineering” คือกระบวนการสร้างความสุขที่ยั่งยืน โดยอาศัยหลักการที่ช่วยส่งเสริมความสุขในตัวเราเองและคนรอบข้าง ผ่าน Methodology ที่เรียกว่า SMILE ซึ่งประกอบด้วย
S: Self-Awareness – รู้ใจ
ความสุขเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง การตระหนักรู้ถึงความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของตนเองช่วยให้เรามองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวเอง รวมถึงเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง การฝึกสมาธิ กระบวนการค้นหารากแก้วความสุขและต่อมสุขใจ หลายองค์กรชั้นนำให้ Talent leader ค้นหาต่อมสุขใจด้วยแบบสอบถาม Multi-Dimension Intelligence Profile จะช่วยย่นกระบวนการทำให้เราเห็น การสร้างสมดุลย์ระหว่าง ความสุข ความเก่งและสิ่งที่ต้องการในงานได้เด่นชัดขึ้นเป็นการพัฒนาความรู้ใจและเพิ่มพลังบวกให้ตัวเอง
M: Manage Emotion – ล้างใจ
การจัดการอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรารับมือกับความเครียดและปัญหาในชีวิตประจำวัน การล้างใจด้วยการฝึกหายใจ Breath work การทำ Tension Release exercise การอาปป่าหรือการผ่อนคลายผ่านกิจกรรมที่เราชื่นชอบ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือออกกำลังกาย ช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มความสมดุลให้กับจิตใจ
I: Innovate Inspiration – บันดาลใจ
ความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจเป็นพลังที่ช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในชีวิต การเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ เช่น การเรียนรู้สิ่งใหม่ การเดินทาง หรือการพูดคุยกับผู้คนหลากหลาย ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา
L: Listen with Head and Heart – เข้าใจ
การฟังอย่างลึกซึ้งไม่ใช่เพียงแค่การได้ยิน แต่คือการฟังด้วยความตั้งใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น การเปิดใจฟังอย่างจริงจังทั้งด้วยสมองและหัวใจ ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเพิ่มความสุขให้ทั้งตัวเราเองและคนรอบข้าง
E: Enhance Social Happiness – เติมใจ
การแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นเป็นการเติมเต็มความสุขในชีวิตของเราเอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ส่งเสริมความสุขในสังคม เช่น การช่วยเหลือเพื่อนบ้าน การเป็นอาสาสมัคร หรือการพูดคำขอบคุณอย่างจริงใจ ช่วยสร้างชุมชนที่มีความสุขและความอบอุ่น
การสร้าง Happy Mind ผ่านกระบวนการ Happineering ด้วยหลักการ SMILE ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาความสุขในตัวเราเอง แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสุขให้กับคนรอบข้าง ความสุขเป็นสิ่งที่เราสร้างได้จากภายใน เริ่มต้นด้วยการรู้ใจ ล้างใจ บันดาลใจ เข้าใจ และเติมใจ แล้วความสุขที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างแท้จริง
- Healthy Body: การส่งเสริมสุขภาพกาย
- โภชนาการที่สมดุล: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน และไขมันที่ดี ช่วยเพิ่มพลังงานและความแข็งแรง
- การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง เดินเร็ว หรือโยคะ
- การสร้างกล้ามเนื้อ: เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเตาเผาพลังงานที่มีคุณภาพและยังมีส่วนช่วยในการสร้าง Balance และ Flexible ให้ร่างกาย
- การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ช่วยให้เราเพิ่ม Growth Hormone เพื่อซ่อมแซมร่างกาย
- การตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อป้องกันและรักษาโรคในระยะเริ่มต้น
ผลกระทบเชิงบวกของ ESG Well-being ต่อองค์กรและสังคม
- ผลกระทบต่อองค์กร
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: พนักงานที่มีสุขภาพจิตและกายดีจะมีสมาธิและพลังงานในการทำงานสูงขึ้น
- ลดการลาออก: เมื่อพนักงานรู้สึกว่าบริษัทใส่ใจในความเป็นอยู่ของพวกเขา พวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรในระยะยาว
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: องค์กรที่ส่งเสริม ESG Well-being มีโอกาสได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน
- ผลกระทบต่อสังคม
- ลดภาระด้านสาธารณสุข: การส่งเสริมสุขภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระดับประเทศ
- เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากร: สังคมที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและกายจะมีประชากรที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
- สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน: การดูแลสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และธรรมาภิบาลที่ดีเป็นรากฐานของการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
แนวทางปฏิบัติสำหรับบุคคลและองค์กร
สำหรับบุคคล:
- เริ่มต้นวันด้วยการทำสมาธิหรือโยคะเพื่อปรับสมดุลจิตใจ
- สร้างนิสัยออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็วหรือปั่นจักรยาน
- รับรู้สัญญาณความเครียดและวิธีการในการสลายความเครียด
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น หลีกเลี่ยงน้ำตาลและอาหารแปรรู
- สร้างบรรยากาศและเวลาที่เหมาะสมในการพักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ
สำหรับองค์กร:
- จัดโปรแกรม Holistic Well-Being เช่น ฟิตเนส ลดพุง การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต
- สร้างพื้นที่ทำงานที่เอื้อต่อความสุข เช่น มุมพักผ่อน หรือพื้นที่สีเขียวในที่ทำงาน
- ใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุน ESG เช่น ระบบติดตามสุขภาพพนักงานหรือโปรแกรมรักษ์โลกในองค์กร
การบูรณาการแนวคิด Happy Mind, Healthy Body ใน ESG Well-being ไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีสุขภาพจิตและกายที่ดีขึ้น แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในระดับองค์กรและสังคม การลงทุนในสุขภาพจิตและกายไม่ใช่เพียงแค่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน