คณะกรรมาธิการยุโรป ระบุจะเสนอเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า (EUDR) ออกไป 12 เดือน หลังมีการเรียกร้องจากภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลทั่วโลก อีกด้านหนึ่งก็เผชิญการค้านหนักจากนักอนุรักษ์
วันทนา อรรถสถาวร: แปลและเรียบเรียง
สรุปประเด็นเด่น
- คณะกรรมาธิการยุโรปออกข้อเสนอเลื่อนกฎหมายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR – EU Deforestion Regulation) ที่สำคัญออกไป 12 เดือน
- กฎหมายฉบับแรกนี้จะกำหนดให้ธุรกิจต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่า
- Global Witness คำนวณว่าข้อเสนอให้เลื่อนออกไป 12 เดือน อาจทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างน้อย 150,385 เฮกตาร์ที่เชื่อมโยงกับการค้าของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่าปารีสถึง 14 เท่า
- การแผ้วถางป่าครั้งนี้จะบั่นทอนความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมาก โดยจะปล่อยก๊าซคาร์บอนเทียบเท่ากับเที่ยวบินระยะไกล 188 ล้านเที่ยว
- Global Witness เรียกร้องให้คณะมนตรีและรัฐสภาสหภาพยุโรปปฏิเสธข้อเสนอและเรียกร้องให้ดำเนินการตามแผนเดิม ที่จะบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567
‘กฎหมายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า’ (EUDR – EU Deforestion Regulation) ได้รับการยกย่องให้เป็นประวัติศาสตร์สำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ และตลาดต่างๆ ตั้งแต่บราซิลไปจนถึงมาเลเซีย กลับระบุว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นนโยบายปกป้องทางการค้า และอาจทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากไม่ได้รับความเป็นธรรม จากต้องพลาดโอกาสทำการค้าในตลาดสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ยังมีคำเตือนอย่างกว้างขวางจากตลาดว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานของสหภาพยุโรป และจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องมีราคาเพิ่มขึ้น
กลุ่มประเทศอียู ราว 20 ประเทศ ขอให้ชะลอ หวั่นกระทบเกษตรกรอียู
ขณะที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จำนวนประมาณ 20 ประเทศจากทั้งหมด 27 ประเทศ ได้ขอให้กรุงบรัสเซลส์ปรับลดหรือระงับกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในสหภาพยุโรป ซึ่งจะถูกห้ามส่งออกสินค้าที่ปลูกในพื้นที่ที่ระบุว่าเป็นการทำลายป่า
คณะกรรมาธิการ ระบุว่า ข้อเสนอนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภายุโรปและประเทศสมาชิก และยังระบุด้วยว่า คณะกรรมาธิการจะเผยแพร่เอกสารความช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
คณะกรรมาธิการ กล่าวว่า ความช่วยเหลือและข้อเสนอให้ระงับการดำเนินการเป็นเวลา 12 เดือนนั้น เพื่อทำให้แน่ใจว่ากฎหมาย EUDR จะประสบความสำเร็จ ในการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าที่เร่งด่วนในระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ ผู้นำสหภาพยุโรปได้ลดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการในปีนี้ เพื่อพยายามระงับการเดินขบวนประท้วงของเกษตรกรที่ดำเนินมาเป็นเวลานานหลายเดือนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ เช่น นโยบายสีเขียวของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปและการนำเข้าสินค้าราคาถูก เป็นต้น
สินค้าเกษตรนำเข้าที่เชื่อมโยงการตัดไม้ทำลายป่า
จะเสียค่าปรับในอัตราสูง
โดยตามกฎหมาย EUDR ที่เดิมจะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2567 กำหนดให้ธุรกิจที่นำเข้าถั่วเหลือง เนื้อวัว โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ไม้ ยาง และสินค้าที่เกี่ยวข้อง ต้องแสดงให้เห็นว่าห่วงโซ่อุปทานไม่ได้เพิ่มการทำลายป่า ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียค่าปรับในอัตราสูง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูล ทำให้ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องจัดทำแผนที่ห่วงโซ่อุปทานในรูปแบบดิจิทัล ลงไปจนถึงพื้นที่ที่ปลูกวัตถุดิบ แม้ว่าจะอยู่ในฟาร์มขนาดเล็กในพื้นที่ชนบทห่างไกล ก็ตาม
โดยนักวิจารณ์ ระบุว่า การจัดทำแผนที่ดังกล่าวนั้น ไม่ง่าย เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานของผลผลิตทางการเกษตรมีความซับซ้อน ครอบคลุมทั่วโลก ไม่เพียงแต่รวมถึงฟาร์มหลายล้านแห่งเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงตัวกลางหลายรายที่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้
ขณะที่บรัสเซลส์ โต้แย้งว่า กฎหมายดังกล่าวมีส่วนยุติการสนับสนุนการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม รองจากการเผาไหม้แหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล
โดยสหภาพยุโรปเป็นประเทศ มีส่วนสนับสนุนการนำเข้าไม้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ตามข้อมูลจากกลุ่มโครงการนิเวศของ WWF
กลุ่มโกลเบิล วิชเนสส์ โต้ว่าเลื่อนกฎหมาย ยิ่งส่งเสริมการทำลายป่า
ด้าน จูเลีย บอนดี ผู้รณรงค์ด้านป่าไม้อาวุโสของสหภาพยุโรป กลุ่มโกลเบิล วิชเนสส์ (Global Witness) กล่าวว่า การประกาศของคณะกรรมาธิการยุโรปในวันนี้ถือเป็นการทำร้ายอย่างร้ายแรงต่อชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องป่าที่มีความสำคัญต่อสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้มีจุดยืนต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า
“กฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการเจรจาที่ยืดเยื้อ โดยความล่าช้าที่เกิดขึ้นอาจคุกคามกระบวนการตัดสินใจตามระบอบประชาธิปไตยของสหภาพยุโรป การที่คณะกรรมาธิการยุโรปยอมจำนนต่อแรงกดดันจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการแสวงหากำไรจากการตัดไม้ทำลายป่าต่อไป ทำให้เกิดความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า”
การวิเคราะห์ของโกลเบิล วิชเนสส์แสดงให้เห็นว่าการเสนอให้เลื่อนบังคับใช้กฎหมายออกไป 12 เดือน อาจส่งผลร้ายแรงต่อวาระการประชุม กรีนดีล (Green Deal) ของสหภาพยุโรป โดยส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าที่เชื่อมโยงกับการค้าของสหภาพยุโรปอย่างน้อย 150,385 เฮกตาร์ (ประมาณ 939,906.25 ไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่มากกว่าปารีสถึง 14 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนกันยายน สหภาพยุโรปได้ยืนยันกับองค์กรการค้าโลกว่า EUDR จะดำเนินการตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้
โดยบริษัทต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายมีเวลาเตรียมตัว 18 เดือนแล้ว และหลายบริษัทก็ได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับ EUDR แล้ว
ทั้งนี้ โกลเบิล วิชเนสส์ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่น ๆ เตือนว่า การเลื่อนกฎระเบียบนี้จะยิ่งทำให้วิกฤตการทำลายป่าที่กำลังดำเนินอยู่เลวร้ายลง และจะทำให้บริษัทที่ทำลายป่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นในการแสวงหากำไรจากการทำลายสิ่งแวดล้อมโดยเข้าถึงตลาดในสหภาพยุโรป
ที่มา: https://www.globalwitness.org/en/press-releases/proposed-delay-eu-anti-deforestation-law-could-cause-deforestation-14-times-size-paris/
https://www.reuters.com/world/europe/eu-proposes-12-month-delay-deforestation-regulation-2024-10-02/