มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์และรามาสวา หั่นงบบริจาคให้สหประชาชาติ(UN) ด้วยเหตุผลเป็นภาระฟุ่มเฟือย แม้กระทั่งวาระ ‘สันติภาพ’ และคุมรายจ่ายของรัฐบาลส่วนอื่น ๆ ราง 5 แสนล้านดอลลาร์ ท่ามกลางแรงเสียดทานพัวพันผลประโยชน์ทับซ้อน
มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) และ วิเวก รามาสวามี (Vivek Ramaswamy) ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการจัดตั้งกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ซึ่งแม้จะไม่ใช่หน่วยงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาล แต่มีเป้าหมายที่จะลดรายจ่ายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ให้ได้ 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ประมาณ 17.25 ล้านล้านบาท)
การรักษาสันติภาพเป็นส่วนสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หรือที่เรียกกันว่าเป้าหมายโลก เพราะเมื่อสังคมสงบสุขและยุติธรรม ก็จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาในด้านอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม โดยเป้าหมายที่ 16 มุ่งเน้นการสร้างสังคมที่สงบสุข ยุติธรรม และไม่แบ่งแยก เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่เข้มแข็งโปร่งใส โดยมีเป้าหมายย่อย เช่น ลดความรุนแรงทุกชนิด ยุติการข่มเหง สร้างหลักนิติธรรม และลดการทุจริต เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ เป้าหมายที่ 16 จึงเป็นเหมือนรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและปราศจากความยากจน เพราะเมื่อมีสันติสุข มีความยุติธรรม และมีสถาบันที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถสร้างโอกาสให้กับทุกคน และทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
แต่ปรากฏว่า หนึ่งในการวางแผนของ กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ที่จะลดค่าใช้จ่ายก็คือการบริจาคของสหรัฐฯ พุ่งเป้าไปที่งบประมาณให้กับสหประชาชาติ ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯเป็นผู้จัดสรรงบประมาณเกือบหนึ่งในสี่ของงบประมาณทั้งหมดของสหประชาชาติ ซึ่งรวมถึงเงินทุนบังคับกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 103.5 ล้านล้านบาท และเงินบริจาคโดยสมัครใจเพิ่มเติมอีก 10,000 ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณราว 3.45 แสนล้านบาท- 517.5 แสนล้านบาท
โดยทั้งสองได้เน้นย้ำถึงความไม่มีประสิทธิภาพและการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยภายในสหประชาชาติ เพราะมองว่าเงินภาษีของผู้เสียภาษีชาวอเมริกันถูกใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่เงินเดือนของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ไม่ต้องเสียภาษี ไปจนถึงโครงการที่ไม่สำคัญเช่น ห้องรับรองกีฬาและงานเฉลิมฉลองระดับนานาชาติ เช่น “วันความเป็นกลางสากล” ซึ่งจัดตั้งโดยรัสเซีย อัฟกานิสถาน และประเทศอื่น ๆ
นอกจากนี้ พวกเขายังวิพากษ์วิจารณ์การสนับสนุนเงินทุนให้กับภารกิจรักษาสันติภาพ เช่น ปฏิบัติการของสหประชาชาติในเลบานอนตอนใต้ ที่ไม่ดำเนินการใด ๆ ต่อกลุ่มก่อการร้ายฮิซบอลเลาะห์
ที่สำคัญไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังสนับสนุนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งได้รับเงินทุนสำหรับตำแหน่งที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง เช่น “ผู้เชี่ยวชาญ” ชาวจีนด้านภาระผูกพันทางการเงินระหว่างประเทศ
ด้วยการกำหนดเป้าหมายในพื้นที่เหล่านี้ มัสก์และรามาสวามีหวังว่าจะสามารถประหยัดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแผนการลดการใช้จ่ายของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โครงสร้างของ DOGE
DOGE เป็นคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งได้รับการประกาศโดยดอนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้ มัสก์และรามาสวามีเป็นผู้ดูแลความก้าวหน้าของแผนนี้ แม้ชื่อของ DOGE จะฟังดูมีน้ำหนัก แต่การจัดตั้งหน่วยงานนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา
มัสก์เชื่อว่าคณะกรรมการนี้จะสามารถลดงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เจมี่ ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกนเชส สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีนักวิจารณ์บางคนตั้งคำถามถึงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากบริษัทของมัสก์มีผลประโยชน์อยู่กับรัฐบาลกลาง
ความท้าทายและความกังวล
การจัดตั้ง DOGE ส่งผลให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับอำนาจของมัสก์และรามาสวามีในการควบคุมรายจ่ายของรัฐบาลกลาง ทั้งคู่ชี้แจงว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีอำนาจในการลดรายจ่ายที่รัฐสภาอนุมัติไปแล้ว และทีมงานของพวกเขาจะทำงานเพื่อตรวจสอบและกำจัดรายจ่ายที่ไม่ตรงตามเจตนาเดิมของรัฐสภา
มัสก์และรามาสวามีแสดงความมั่นใจในความสามารถของพวกเขาในการลดต้นทุน แม้ว่าความพยายามในอดีตจะให้ผลลัพธ์ที่จำกัด ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแต่งตั้งนักธุรกิจ เจ. ปีเตอร์ เกรซ ให้เสนอแนวทางลดค่าใช้จ่ายกว่า 2,000 รายการ แต่ข้อเสนอส่วนใหญ่ไม่ถูกนำไปใช้
รายการเป้าหมายที่จะลดค่าใช้จ่าย
แม้ว่ารายจ่ายของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่จะเป็นรายจ่ายบังคับ เช่น ประกันสังคมและเมดิแคร์คิดเป็นสองในสามของงบประมาณ มัสก์และรามาสวาวางแผนที่จะลดในกลุ่มรายจ่ายย่อยที่ไม่มีประโยชน์ เช่น
– องค์กรเพื่อการแพร่ภาพสาธารณะ 535 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
– องค์กรระหว่างประเทศ เงินช่วยเหลือ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– กลุ่ม การวางแผนการเป็นพ่อแม่ (Planned Parenthood) และกลุ่มก้าวหน้าอื่นๆ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กล่าวถึงค่ารักษาพยาบาลทหารผ่านศึกโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของเงินทุนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับแก้ แต่พวกเขายอมรับว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนมากถึง 119 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2024 โดยอ้างว่าเป็นรายการงบประมาณที่ไม่ก่อประโยชน์
นอกเหนือจากโปรแกรมขนาดเล็กเหล่านี้แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมากอื่นๆ อีก เช่น โปรแกรมบำบัดฝิ่น กระทรวงการต่างประเทศ และความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมขนาดเล็กที่มีการอนุญาตหมดอายุ เช่น NASA และสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) กลุ่มอนุรักษ์นิยมบางกลุ่ม เช่น โครงการ 2025 ของมูลนิธิ Heritage ซึ่งมัสก์ได้เสนอให้ยุบ NOAA ไปเลย
แผนการลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลาง
มัสก์และรามาสวามียังวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลาง โดยเรียกร้องให้ “ลดจำนวนพนักงานจำนวนมาก” ในระบบราชการของรัฐบาลกลาง จากรายงานพบว่ามีพนักงานของรัฐบาลกลางในปี 2023 มากกว่า 2 ล้านคนที่อยู่ในข่ายต้องลด โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดทำงานในกิจการทหารผ่านศึกและกองทัพ
ทั้งคู่โต้แย้งว่าประธานาธิบดีสามารถใช้กรอบกฎหมายที่มีอยู่เพื่อดำเนินการ “การลดหย่อนที่มีผลบังคับใช้” โดยไม่กำหนดเป้าหมายไปที่พนักงานแต่ละคน พวกเขายังเสนอให้เสนอแรงจูงใจแก่พนักงานของรัฐบาลกลางสำหรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดหรือเงินชดเชยการเลิกจ้างโดยสมัครใจเพื่อช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคเอกชนอย่างราบรื่น
นอกจากนี้ พวกเขายังเสนอกำหนดให้พนักงานของรัฐบาลกลางกลับมาดำรงตำแหน่งสัปดาห์ละห้าวัน พวกเขาเชื่อว่าสิ่งนี้อาจนำไปสู่การเลิกจ้างโดยสมัครใจจำนวนมาก บนโซเชียลมีเดีย มัสก์ได้แชร์ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายแห่งใช้พื้นที่สำนักงานน้อยกว่า 20% ซึ่งเขาโต้แย้งว่านำไปสู่การใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง ซึ่งเขาจะเข้ามาจัดการพื้นที่เหล่านี้ให้มีประโยชน์มากขึ้น
เงินเดือนและต้นทุนของรัฐบาลกลาง
เงินเดือนของพนักงานของรัฐบาลกลางแตกต่างกันไปตามแผนกและอาวุโส โดยมาตราเงินเดือนในตารางทั่วไปกำหนดเงินเดือนต่ำสุดที่ประมาณ 22,000 ดอลลาร์ต่อปี ราว 759,000 บาท และสูงสุดที่ประมาณ 160,000 ดอลลาร์ ราว 5.52 ล้านบาทต่อปี หน่วยงานบางแห่ง โดยเฉพาะหน่วยงานที่แข่งขันกับภาคเอกชน เสนอเงินเดือนที่สูงกว่าเพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถ พนักงานของรัฐบาลกลางประมาณ 80% ประจำการอยู่นอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเงินเดือนเฉลี่ยของพวกเขาแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับหน่วยงาน
ตัวอย่างเช่น พนักงานของคณะกรรมการอนุสรณ์สถานการรบแห่งอเมริกาได้รับเงินเดือนเฉลี่ยประมาณ 115,000 ดอลลาร์ ราว 3.98 ล้านบาท ในขณะที่พนักงานของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้รับเงินเดือนเกือบ 60,000 ดอลลาร์ หรือราว 2.07 ล้านบาท
ด้วยการกำหนดเป้าหมายในภาคส่วนต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ มัสก์และรามาสวามีหวังว่าจะสามารถประหยัดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภารกิจที่กว้างขึ้นของพวกเขาในการลดการใช้จ่ายภาครัฐที่ฟุ่มเฟือย.
https://www.cbsnews.com/news/musk-ramaswamy-doge-500-billion-spending-where-they-will-cut/