COP30 ชี้สัญญาณโลกกำลังเร่งเครื่องสู่ยุคปลอดคาร์บอน — 194 ประเทศประกาศร่วมกันว่า ‘การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่อาจย้อนกลับ’

COP30 ชี้สัญญาณโลกกำลังเร่งเครื่องสู่ยุคปลอดคาร์บอน — 194 ประเทศประกาศร่วมกันว่า ‘การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่อาจย้อนกลับ’

การประชุม COP30 ที่เมืองเบเลง (Belém)  ประเทศบราซิล ปิดฉากด้วยสารสำคัญที่ถูกสื่อไปทั่วโลก เมื่อ Simon Stiell เลขาธิการบริหารของ UN Climate Change กล่าวในพิธีปิดว่า แม้ปีนี้จะเต็มไปด้วย “พายุทางการเมือง” และความขัดแย้งระดับภูมิรัฐศาสตร์ แต่ COP30 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศยังคง “มีชีวิตและกำลังเดินหน้า” ทั้งยังเป็นพลังสำคัญที่ทำให้มนุษยชาติยังอยู่ในเส้นทางต่อสู้เพื่อโลกที่น่าอยู่ เขาย้ำว่าโลกอาจยังไม่ชนะวิกฤตภูมิอากาศ แต่ปีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “เรายังไม่แพ้ และกำลังสู้กลับอย่างจริงจัง”

Credit: Kiara Worth | UN Climate Change

หนึ่งในผลลัพธ์ที่ทรงพลังที่สุดคือการที่ 194 ประเทศ ยืนหยัดร่วมกันและลงนามยืนยันถ้อยคำเดียวว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบปล่อยก๊าซต่ำและเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศ เป็นแนวโน้มของอนาคต และเป็นกระบวนการที่ไม่อาจย้อนกลับได้” การเห็นพ้องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสะท้อนถึงการตระหนักร่วมกันว่าตลาดพลังงานทั่วโลกกำลังพลิกขั้ว เงินลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจน “มากกว่าพลังงานฟอสซิลถึงสองเท่า” ซึ่งเป็นสัญญาณทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจฟอสซิลกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงปลายทาง

ในด้านการลงมือทำ COP30 ยังขับเคลื่อนผ่าน Action Agenda ซึ่งสร้างความคืบหน้าในโลกแห่งความจริงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการระดมเงินทุนกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสะอาด การปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่ป่า ที่ดิน และมหาสมุทรหลายร้อยล้านเฮกตาร์ รวมถึงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือผลกระทบสภาพภูมิอากาศให้กับประชาชนกว่า 400 ล้านคน นอกจากนี้ ความร่วมมือในระบบสำคัญ เช่น พลังงาน การขนส่ง อาหาร สุขภาพ อุตสาหกรรม การเงิน และการศึกษา ได้ถูกนำเสนอผ่านผลงานที่กำลังเดินหน้าจริงโดยรัฐบาล ภาคธุรกิจ สถาบันการเงิน ภาคประชาสังคม และกลุ่มชนพื้นเมือง ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นว่าคำมั่นที่ผ่านมาเริ่มแปรเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ในเชิงนโยบาย COP30 มีความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่ ข้อตกลง Just Transition ที่ย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านต้องเป็นธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการตกลงเพิ่ม งบประมาณด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Adaptation Finance) เป็นสามเท่า เพื่อรองรับประเทศที่กำลังเผชิญภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ทั้งน้ำท่วม ไฟป่า และคลื่นพายุที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลก

Stiell ยังกล่าวเตือนอย่างหนักแน่นถึง “ภัยข้อมูลบิดเบือน (disinformation)” ซึ่งกำลังกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการแก้ปัญหาภูมิอากาศ โดยเขาระบุว่า disinformation บิดเบือนความจริงด้านวิทยาศาสตร์ ฉวยโอกาสจากความกลัว และทำให้ภูมิทัศน์ทางการเมืองบิดเบี้ยว ส่งผลให้สังคมหันไปกล่าวโทษปัจจัยที่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง เขาย้ำว่า COP30 ต้องเป็น “COP แห่งความจริง” และต้องยืนหยัดปกป้องข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ควบคู่กับการเร่งความร่วมมือ

ในค่ำวันเดียวกัน UN Climate Change ได้เผยแพร่ รายงานผลลัพธ์วาระการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโลก (Global Climate Action Outcomes) ซึ่งเน้นย้ำว่าการเร่งปฏิบัติจริงเกิดขึ้นแล้วในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ธุรกิจ การเงิน ประชาสังคม หรือชนพื้นเมือง โดยรายงานแสดงให้เห็นว่าความคืบหน้าเกิดขึ้นในหลายระบบสำคัญ ตั้งแต่พลังงานและอุตสาหกรรม ไปจนถึงอาหาร สุขภาพ และการศึกษา ทั้งหมดสะท้อนการมุ่งเน้น “ผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนจริง ๆ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ COP30

เพื่อขับเคลื่อนงานต่อไปหลังการประชุม ผู้นำระดับสูงด้านสภาพภูมิอากาศได้เปิดตัว วิสัยทัศน์ 5 ปี (Five-Year Vision) สำหรับการเร่งการนำผลลัพธ์ของ COP ไปปฏิบัติจริง มุ่งสร้างความต่อเนื่อง ความโปร่งใส และการติดตามผลผ่านพอร์ทัล NAZCA เพื่อให้โลกสามารถเห็นความคืบหน้าแบบเปิดเผยและต่อเนื่องในระยะยาว

ภาพรวมของ COP30 จึงสะท้อนชัดว่า แม้เส้นทางสู่การหยุดยั้งโลกร้อนยังเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ความร่วมมือระดับโลกยังแข็งแรง การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสะอาดกำลังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจย้อนกลับ และการลงมือทำกำลังเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ในชีวิตของผู้คนนับพันล้านทั่วโลก โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคเร่งเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องอาศัยทั้งความจริง ความกล้า และความร่วมมือ

Source

https://www.unfccc.int/news/paris-agreement-is-working-to-deliver-real-progress-but-we-must-strive-valiantly-for-more-simon

https://unfccc.int/documents/655037

https://unfccc.int/sites/default/files/resource/COP30%20Action%20Agenda_Final%20Report.docx.pdf

https://www.unfccc.int/news