การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจในยุคข้ามเจเนอเรชั่น สร้างพลังองค์กร

การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจในยุคข้ามเจเนอเรชั่น สร้างพลังองค์กร

การสื่อสารที่เข้าอกเข้าใจข้ามเจเนอเรชั่นช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ผู้นำที่ใช้หลักพรหมวิหาร 4 จะสามารถสนับสนุนและแก้ไขปัญหาด้วยความเห็นใจ สร้างสภาพแวดล้อมที่มีความสุขและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

 

 

 

 

 

โดย อาจารย์กฤษณ์ รุยาพร

Co-Founder IDGs Asia Pacific Innovation Center -Leadership Hub Thailand CEO University of Happiness

 

ผู้แต่งหนังสือขายดี : 

ศาสตร์ผู้นำสู่ความยั่งยืน, เหนือกว่ากำไร, 

Well-Being Leader,  DNA Of Leadership Happiness

 

Cross Generation Compassionate Communication

 

การที่ผู้นำไม่สามารถสร้างการสื่อสารด้วยความเข้าอกเข้าใจข้ามเจเนอเรชั่นได้อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทั้งบุคคลและสภาพแวดล้อมต่างๆ นี่คือบางสาเหตุที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถสร้างหรือใช้การสื่อสารที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจได้:

 

  1. การขาดทักษะหรือความรู้

ผู้นำบางคนอาจขาดทักษะในการสื่อสารที่มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งอาจมาจากการขาดการฝึกฝนหรือการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความเข้าใจและการจัดการอารมณ์ในเชิงบวก เมื่อผู้นำไม่มีทักษะในการใช้ภาษาที่เหมาะสมหรือไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจได้อย่างแท้จริง อาจทำให้การสื่อสารกลายเป็นการสั่งการหรือวิจารณ์แทนที่จะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุน

 

  1. ความเครียดหรือภาระงานที่สูง

ผู้นำที่มีภาระงานหนักหรืออยู่ในสถานการณ์ที่เครียดอาจรู้สึกว่าการสื่อสารแบบเห็นอกเห็นใจไม่ใช่สิ่งสำคัญในขณะนั้น พวกเขาอาจให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางธุรกิจหรือผลลัพธ์ที่รวดเร็วมากกว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่เข้าใจและการฟังที่เต็มใจ เมื่อผู้นำถูกครอบงำด้วยความเครียดหรือภาระที่มีมาก อาจทำให้การสื่อสารมีแนวโน้มที่จะเป็นการตัดสินใจอย่างรวดเร็วหรือการสั่งงานโดยไม่พิจารณาความรู้สึกและมุมมองของผู้อื่น ทำให้พนักงานรู้สึกไม่ถูกเข้าใจหรือไม่ได้รับการสนับสนุนที่จำเป็น

 

  1. การขาดการรับฟังอย่างจริงใจ

ผู้นำบางคนอาจไม่มีทักษะหรือความตั้งใจในการฟังความคิดเห็นและความรู้สึกของผู้อื่นอย่างเต็มที่ พวกเขาอาจมองว่าการรับฟังอย่างใส่ใจเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในกระบวนการทำงาน การขาดการฟังที่ดีจะทำให้ผู้นำไม่สามารถเข้าใจปัญหาหรือความต้องการที่แท้จริงของทีมได้ ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารขาดความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และอาจเกิดความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งได้

 

  1. การไม่ยอมรับความอ่อนแอหรือความเป็นมนุษย์

ผู้นำบางคนอาจรู้สึกอายหรือไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยความรู้สึกหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ เพราะคิดว่าเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ หรือพวกเขาอาจรู้สึกว่าการทำให้พนักงานเห็นว่าพวกเขามีความรู้สึกเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือหรืออำนาจของตน เมื่อผู้นำไม่ยอมรับความเป็นมนุษย์ของตนเองและไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริง อาจทำให้พวกเขาดูแข็งกร้าวและขาดการเชื่อมโยงกับทีมงาน ทำให้การสื่อสารขาดความเป็นธรรมชาติและไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้

 

  1. วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นผลลัพธ์

ในองค์กรที่เน้นผลลัพธ์หรือมีวัฒนธรรมการแข่งขันสูง ผู้นำอาจถูกคาดหวังให้มุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจทางธุรกิจหรือการบรรลุเป้าหมายมากกว่าการสนใจในด้านอารมณ์หรือความเป็นอยู่ของพนักงาน วัฒนธรรมเช่นนี้อาจทำให้ผู้นำไม่เห็นความสำคัญของการสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ และอาจลดทอนความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายหรือการดูแลสุขภาพจิตและอารมณ์ของพนักงาน

 

Cross Generation Compassionate Communication การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจข้ามเจเนอเรชั่น คือการสื่อสารที่เน้นการเข้าใจและแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะอยู่ในวัยหรือช่วงชีวิตไหนก็ตาม โดยใช้หลักธรรม พรหมวิหาร 4 ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำและทีมงาน เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและมีความหมายที่ลึกซึ้ง การใช้หลักธรรมเหล่านี้ในการสื่อสารช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี แม้จะมาจากคนละรุ่น คนละวัย หรือมีความแตกต่างกัน

 

พรหมวิหาร 4 คือ:

เมตตา (Mettā) – ความรักและปรารถนาดี

กรุณา (Karunā) – ความเมตตาและช่วยเหลือผู้อื่น

มุทิตา (Muditā) – ความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น

อุเบกขา (Upekkhā) – ความสงบและยุติธรรม ไม่ยึดติด

 

เมื่อผู้นำใช้หลักการเหล่านี้ในการสื่อสาร จะช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ทั้งในแง่ของการมีความสัมพันธ์ที่ดี การสนับสนุนซึ่งกันและกัน และการแก้ไขปัญหาหรือความขัดแย้งอย่างมีสติ

 

  1. เมตตา (Mettā) – ความรักและความปรารถนาดี

ในฐานะผู้นำ: เมตตาคือการส่งเสริมความรักและความปรารถนาดีให้กับสมาชิกในทีม หรือในบริบทการทำงาน หมายถึงการแสดงออกถึงความห่วงใยและความเอาใจใส่ต่อความต้องการของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นในด้านส่วนบุคคลหรือทางอาชีพ

ในการสื่อสาร: ผู้นำที่ใช้เมตตาจะสื่อสารด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความปรารถนาดี เช่น การให้คำแนะนำหรือความช่วยเหลือที่ไม่เป็นการตัดสิน แต่เป็นการช่วยให้คนในทีมสามารถเติบโตหรือก้าวข้ามความท้าทายได้

ตัวอย่าง: หากพนักงานมีปัญหาทางการทำงาน หรือการจัดการความเครียด ผู้นำที่ใช้เมตตาจะพูดคุยในลักษณะที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเขาได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจ เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังเผชิญกับความยากลำบาก เรามาช่วยกันหาทางออกดีไหม?”

 

  1. กรุณา (Karunā) – ความเมตตาและการช่วยเหลือ

ในฐานะผู้นำ: กรุณาคือการแสดงออกถึงความเมตตาและความพยายามในการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ เป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่แสดงออกถึงความเข้าใจ แต่ยังรวมไปถึงการให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง

ในการสื่อสาร: ผู้นำที่ใช้กรุณาจะฟังและให้คำแนะนำที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะไม่เพียงแต่แสดงออกถึงความเห็นใจ แต่ยังพร้อมที่จะให้คำแนะนำที่สามารถนำไปปฏิบัติได้

ตัวอย่าง: เมื่อทีมงานประสบปัญหาหรือความท้าทาย ผู้นำที่ใช้กรุณาจะพูดในลักษณะที่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาด้วยการสนับสนุน เช่น “ฉันเห็นว่าคุณกำลังเผชิญกับอุปสรรค เรามาทำงานร่วมกันเพื่อหาวิธีแก้ปัญหานี้กัน”

 

  1. มุทิตา (Muditā) – ความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น

ในฐานะผู้นำ: มุทิตาคือการยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น โดยไม่รู้สึกอิจฉาหรือแข่งขัน เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติและการสนับสนุนผู้อื่นให้เติบโต

ในการสื่อสาร: ผู้นำที่ใช้มุทิตาจะยินดีและชื่นชมเมื่อทีมมีความสำเร็จหรือพัฒนาการที่ดี ผู้นำจะไม่เพียงแค่เฉลิมฉลองความสำเร็จของตนเอง แต่จะยินดีและให้การยอมรับผู้อื่นอย่างเต็มที่

ตัวอย่าง: เมื่อสมาชิกในทีมประสบความสำเร็จ ผู้นำที่ใช้มุทิตาจะพูดในลักษณะที่แสดงออกถึงความยินดีและการยอมรับ เช่น “คุณทำได้ยอดเยี่ยมมาก! ฉันดีใจที่เห็นความสำเร็จของคุณ พวกเราทุกคนภูมิใจในตัวคุณ”

 

  1. อุเบกขา (Upekkhā) – ความเที่ยงธรรมและการไม่ยึดติด

ในฐานะผู้นำ: อุเบกขาคือการรักษาความเที่ยงธรรมและสมดุลในการตัดสินใจ โดยไม่ยึดติดกับอารมณ์หรือความลำเอียง เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือปัญหาภายในทีม ผู้นำจะสามารถมองเหตุการณ์จากมุมมองที่เป็นกลาง

ในการสื่อสาร: ผู้นำที่ใช้อุเบกขาจะสามารถสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ถูกอารมณ์เข้าครอบงำ พวกเขาจะสามารถจัดการกับข้อโต้แย้งหรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างสมดุลและมีสติ

ตัวอย่าง: หากเกิดข้อขัดแย้งในทีม ผู้นำที่ใช้อุเบกขาจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่จะมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางและช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น “เรามาฟังทั้งสองฝ่ายให้หมด และหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทีมกันเถอะ”

 

การสื่อสารที่มีความเข้าอกเข้าใจในบริบทของการเป็นผู้นำ

การเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมแสดงออก: การเป็นผู้นำที่มีการสื่อสารด้วยความเข้าอกเข้าใจไม่เพียงแค่พูดถึงความรู้สึกของผู้นำเอง แต่ยังเปิดโอกาสให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกของตัวเอง ผู้นำจะต้องฟังอย่างตั้งใจและแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจในการรับฟัง

การใช้สำนวนและภาษาที่อ่อนโยน: ผู้นำที่มีความเข้าอกเข้าใจในการสื่อสารจะเลือกใช้ภาษาที่มีความอ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่อาจทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เช่น การให้คำแนะนำอย่างสร้างสรรค์แทนการวิจารณ์อย่างรุนแรง

การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: การสร้างพื้นที่ในการสื่อสารที่ให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือถูกตำหนิ

การ Compassionate Leadership Communication ที่ใช้ พรหมวิหาร 4 จะเป็นการสื่อสารที่เน้นความเข้าอกเข้าใจ การให้การสนับสนุนและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมในทุกช่วงวัย โดยผู้นำที่ใช้หลักการเหล่านี้จะช่วยให้ทีมงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการทำงาน การใช้พรหมวิหาร 4 ไม่เพียงแต่ช่วยในด้านการสื่อสาร แต่ยังช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน.