เอเชีย กรีน เอนเนอจี เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจฟอสซิล สู่ความยั่งยืน ต่อยอดธุรกิจกรีน ปั้น เอเชีย ไบโอแมส เรือธงสร้างรายได้ ตั้งเป้าดัน EBIDA ธุรกิจยั่งยืนเป็น 50% ในปี 2573
ผลกระทบภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) ที่พ่วงคำว่า ‘รุนแรง’ ไม่ว่าจะเป็น พายุรุนแรง น้ำท่วมรุนแรง ภัยแล้งรุนแรง ฯลฯ สร้างผลกระทบให้กับผู้คนบนโลกในทุกหย่อมหญ้า
โดยผู้ร้ายหรือตัวการอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน นิ้วถูกชี้ไปที่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคพลังงานและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับฟอสซิล กลายเป็น ‘แรงกดดัน’ และ ‘ความเสี่ยง’ ในการดำเนินธุรกิจ เพราะหากยังดำเนินธุรกิจแบบเดิมต่อไป โลกจะปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ จนกลายเป็นการขาดความสามารถในการแข่งขัน จากการกำหนดมาตรการกีดกันทางการค้าของนานาประเทศ และผู้บริโภคที่ลดการใช้สินค้าที่มีส่วนทำร้ายโลก
จึงไม่แปลก ที่จะเห็นธุรกิจที่อยู่ในภาคพลังงานและภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับฟอสซิล เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดน้ำหนักธุรกิจฟอสซิล มาเพิ่มน้ำหนักให้กับธุรกิจสีเขียว (Green Business) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจของตนเองในอนาคต
หนึ่งในนั้น คือ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า ที่ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจ สู่การดำเนินธุรกิจยั่งยืน โดยตั้งเป้าว่าในปี 2573 จะมีสัดส่วน EBIDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) มาจากธุรกิจยั่งยืน 50% และธุรกิจถ่านหิน 50% จากปัจจุบันที่รายได้หลักมาจากธุรกิจถ่านหิน สัดส่วน 95%
ปณิตา ควรสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE เปิดเผยว่า ภายใต้เป้าหมายการดำเนินธุรกิจพลังงานยั่งยืน ดังกล่าว ทำให้ล่าสุดที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น มีมติให้บริษัทฯ เข้าทำรายการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท เอเชีย ไบโอแมส จำกัด (มหาชน) หรือ (ABM) จำนวน 292,107,010 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.30 บาท พร้อมทั้งทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป (Tender Offer) ใน ABM จากผู้ถือหุ้นของ ABM โดย AGE ตั้งเป้าให้ ABM เป็น flagship ทางด้านพลังงานยั่งยืนของกลุ่มบริษัท
สำหรับกระบวนการชำระค่าตอบแทนการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ABM ในครั้งนี้ ทาง AGE จะชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนด้วยการแลกหุ้น (Share Swap) ของหุ้นสามัญในบริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (QTC) จำนวน 81,860,400 หุ้น หรือคิดเป็น 24 % ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและชำระแล้ว และหุ้นสามัญในบริษัท กรีน อาร์ดีเอฟ จำกัด (GRDF) จำนวน 335,497 หุ้น หรือคิดเป็น 100% ของทุนจดทะเบียน แทนการชำระด้วยเงินสด โดยคาดว่า รายการทำ Share Swap และ การทำ Tender Offer จะแล้วเสร็จภายในปลายไตรมาส 4 ของปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท ทุนทำดี จำกัด จำนวน 17,997 หุ้น หรือคิดเป็น 44.99% ของทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ที่ราคา 62,230,500 บาท โดย บริษัท เอจีอี เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ AGE จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยซื้อหุ้นดังกล่าวจาก บริษัท แอลฟ่า จี เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ABM
ลุยซื้อกิจการต่อยอดธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวล
“แผนการเข้าซื้อกิจการของ AGE ในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจพลังงานยั่งยืน โดย ABM ถือเป็นผู้นำในธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวล และบริษัทฯ มุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจทาง AGE จะเป็นผู้ถือหุ้นใน ABM เป็น 51 – 70 % และถือหุ้นใน ทุนทำดี ที่ 100% ขณะที่ ABM จะเป็นผู้ถือหุ้นใน QTC ที่ 24% และ GRDF ที่ 100%”
ปัจจุบันรายได้หลัก 95% มาจากธุรกิจถ่านหิน
ปัจจุบัน AGE มีการดำเนินงาน 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจถ่านหิน, ธุรกิจโลจิสติกส์, ธุรกิจพลังงานยั่งยืน และธุรกิจ Diversified Investments สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ ยังมาจากธุรกิจถ่านหินที่ 95% แต่หลังจากการเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใน ABM สัดส่วนรายได้จากถ่านหินของบริษัทฯ จะลดลง จากการรับรู้รายได้ของ ABM ในฐานะบริษัทย่อย
ปี 2573 ตั้งเป้า EBITDA ธุรกิจยั่งยืน 50%
ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่มีความยั่งยืน จากการเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโลจิสติกส์ จากกลุ่มลูกค้าภายนอกทั้งจากกลุ่มสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรมเป็น 50% จากปัจจุบันที่ 35% ขณะที่ธุรกิจพลังงานยั่งยืน (Sustainable Energy) บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายเชื้อเพลิง RDF ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงจากขยะ ภายใต้บริษัทย่อย GRDF อย่างต่อเนื่อง และธุรกิจ Human Solutions (Diversified Investments) ภายใต้บริษัทย่อย “เอจีอี เวนเจอร์ หรือ AGEVT” ซึ่งได้จัดตั้งบริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการปล่อยเช่ารถ EV ให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจ โดยจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/67 และ บริษัท เอจีอี ออโต้ แกลลอรี่ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจดีลเลอร์ขายรถไฟฟ้า EV ในปัจจุบัน กำลังก่อสร้างโชว์รูม สองแห่ง คือ OMODA & JAECOO สาขา รามคำแหง และ Neta สาขาพระราม 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในช่วงไตรมาส 4/67 และ 2/68 ตามลำดับ และเริ่มรับรู้รายได้จากการขายรถในไตรมาส 4/67
ปณิตา กล่าวทิ้งท้ายว่า จากแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นของ บริษัทฯ สู่การดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืน และตั้งเป้าว่าในปี 2573 บริษัทฯ จะมีสัดส่วน EBITDA มาจากธุรกิจยั่งยืน 50% ธุรกิจถ่านหิน 50%