อภิมหาโปรเจกต์ 1.2 แสนล้านบาท ONE BANGKOK เปิดอย่างเป็นทางการ หลังใช้เวลาพัฒนาโครงการราว 10 ปี นับตั้งแต่ชนะการประมูลเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เมื่อปี พ.ศ.2557 พื้นที่กว่า 108 ไร่ วางรากฐานความยั่งยืน เป็นมากกว่าโครงการใหญ่ แต่มุ่งเป้าพัฒนาเมือง
อภิมหาโปรเจกต์ วัน แบงค็อก (ONE BANGKOK) เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา จัดพิธีเปิดอลังการ มีศิลปินชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงเซเลบริตี้ร่วมงานคับคั่ง โดยโครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจมากมายทั้งเครื่องดื่มและอาหาร, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์, ประกัน และสื่อ เป็นต้น
หลังจากใช้เวลาพัฒนาโครงการร่วม 10 ปี นับจากที่เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ชนะการประมูลเช่าที่ดินเมื่อปี พ.ศ.2557 จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อ 3 เมษายน 2560 ได้เผยโฉมโครงการบนพื้นที่ 108 ไร่แห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ กับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท ยังไม่รวมค่าที่ดิน และทำพิธีลงเสาเอก เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 โดยมี ปณต สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด
โครงการวัน แบงค็อกแห่งนี้ พัฒนาขึ้นบนวิสัยทัศน์เพื่อให้เป็น ‘เมืองกลางใจ’ บนทำเลที่ตั้งบริเวณหัวมุมถนนวิทยุและพระราม 4 เชื่อมต่อโดยตรงกับระบบขนส่งมวลชนที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีทางเข้าออกรอบโครงการถึง 6 จุด จากฝั่งถนนวิทยุไล่มาจนถึงพระราม 4
ภายในโครงการ ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าที่ผสมผสานความหลากหลาย ที่อยู่อาศัย โรงแรม ศูนย์แสดงนิทรรศการและคอนเสิร์ตฮอลล์ระดับโลก แหล่งรวมศิลปวัฒนธรรม พร้อมกับพื้นที่สาธารณะเปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว 50 ไร่ ตลอดจนการเป็นเมืองอัจฉริยะที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าวว่า วัน แบงค็อก คือโครงการอันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจ เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่เกิดจากการสานต่อปณิธานของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี (พ่อและแม่) ที่มุ่งมั่นนำพลังความรู้ความสามารถ และทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีมาพัฒนาถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นถนนสายที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของกรุงเทพฯ มายาวนาน ด้วยการพัฒนา วัน แบงค็อก ให้เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก ศูนย์กลางแห่งชีวิตที่เชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจ และแรงบันดาลใจเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จุดประกายความเจริญรุ่งเรืองให้กับกรุงเทพมหานครในยุคใหม่ นี่คือก้าวสำคัญในการ ‘พัฒนาเมืองหลวง’ ของประเทศไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น และยกระดับสู่การเป็นมหานครระดับโลกอย่างแท้จริง
วางแนวคิดความยั่งยืนตั้งแต่วางแผนโครงการ
สำหรับโครงการวัน แบงค็อก มีพื้นที่ใช้สอยทั้งโครงการระดับ 1 ล้านตารางเมตร มีที่จอดรถมากที่สุดระดับ 10,000 คัน มากสุดในไทย และคาดการณ์ว่าจะมีคนเข้ามาใช้พื้นที่ใช้สอยราว 100,000 คนต่อวัน เสมือนเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่ง ส่งผลให้โครงการนี้ใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งในแง่การบริหารจัดการนั้น ปณต และผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เคยให้รายละเอียดในเรื้อวนี้ไว้ว่า ได้ขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องความยั่งยืนมาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มวางแผนโครงการ โดยไม่ได้มองเพียงการสร้างโครงการขนาดใหญ่ แต่มองในมิติการพัฒนาเมือง พัฒนาย่าน หรือพัฒนาชุมชนในพื้นที่กว่า 108 ไร่ หรือกว่าล้านตารางเมตร โดยมีแกนหลักในการขับเคลื่อนที่เน้นการให้ความสำคัญแก่ผู้คน (People Centric) รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนและดูแลส่ิงแวดล้อมของทั้งโครงการได้อย่างบูรณาการ (Green Smart Living) เพื่อเป็นไปตามแนวทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง สอดคล้องกับแนวคิด Better Quality of Life in One Bangkok
9 เรื่องสะท้อนความยั่งยืน
โครงการ วัน แบงค็อก เน้นการสร้างคุณภาพชีวิตใน 3 มิติ ได้แก่ 1.Physical Vitality: มอบสิ่งอำนวยความสะดวกที่ส่งเสริมสุขภาวะ 2.Mental & Social Rejuvenation: สร้างพื้นที่สีเขียวกว่า 50 ไร่ สำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมทางสังคม 3.Safe & Secure Environment: โครงการใส่ใจในความปลอดภัย ซึ่งภายใต้ 3 มิตินี้ แบ่งออกเป็น 9 ไฮไลต์ ดังนี้
1.มาตรฐานการพัฒนาโครงการ : วัน แบงค็อก ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED for Neighborhood Development ซึ่งแตกต่างจาก LEED ทั่วไปที่จะรับรองมาตรฐานเฉพาะในอาคาร แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับทุกองค์ประกอบภายในโครงการทั้ง 108 ไร่ โดยได้รับการรับรองในระดับ Platinum ซึ่งถือเป็นมาตรฐานในระดับสูงสุด ขณะเดียวกันยังได้รับการรับรองมาตรฐาน WELL ในมิติของการส่งเสริมสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคารด้วย
ภายในอาคารมีอากาศบริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง พร้อมด้วยตัวกรองสองชั้น และฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี รวมทั้งยังมีระบบเซ็นเซอร์มากกว่า 3,000 จุด สำหรับการตรวจสอบคุณภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง วัสดุที่ใช้มีสาร VOC ต่ำ ปราศจากสารตะกั่วและปรอท และมียังมีระบบลดการสัมผัสช่วยเพิ่มสุขอนามัยที่ดี ไม่เท่านั้นจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่จอดจักรยาน และพื้นที่สีเขียวกว้างขวาง รวมทั้งยังมีระบบการจัดการน้ำฝน และออกแบบวัสดุภายนอกให้เป็นสีอ่อน เพื่อช่วยลดความร้อนในพื้นที่เมือง
2.เทคโนโลยีอัจฉริยะที่สามารถตอบโจทย์ Green Smart Living : ความสามารถในการบริหารจัดการส่วนต่างๆ ภายในโครงการได้อย่างบูรณาการ มาจากการมีระบบอัจฉริยะ Central Utility Plant (CUP) อาคารสาธารณูปโภคล้ำสมัย ที่รวบรวมการทำงานของระบบต่างๆ มาไว้ภายในที่เดียวกัน เช่น มีเสาไฟอัจฉริยะกว่า 3,000 จุด เป็นจุดเชื่อมต่อ WiFi ความเร็วสูง ติดตั้งกล้อง CCTV บนเสาไฟกว่า 5,000 จุด ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
3.มีศูนย์บัญชาการกลางที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง : เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการทำงานร่วมกับ AI พร้อมด้วยการดูแลรักษาความปลอดภัย หรือบริหารจัดการด้านการจราจรภายในอาคารอย่าง Realtime ประกอบด้วยระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะกว่า 250,000 จุด ระบบควบคุมส่วนกลางที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน และภัยคุกคามต่างๆ โดยศูนย์ควบคุมนี้ คอยดูแลอุปกรณ์ดิจิทัล สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ไฟฟ้า อุปกรณ์เคลื่อนที่ตามแนวดิ่ง ท่อประปา ระบบทำความร้อน ระบบบริหารอาคาร และระบบสื่อสาร โดยมีการติดตามตลอด 24 ชั่วโมง
4.การดูแลคุณภาพชีวิตและประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดี : การออกแบบพื้นที่ภายในโครงการวัน แบงค็อก เน้นให้สามารถเดินเชื่อมแต่ละจุดที่อยู่ภายในโครงการได้ภายใน 15 นาที ให้สอดคล้องกับแนวคิด Walking City ตามเทรนด์ใหม่ในการพัฒนาเมืองที่ใส่ใจเรื่องของคุณภาพชีวิต และยังช่วยลดการใช้รถ ทำให้คุณภาพอากาศภายในโครงการดีขึ้น
5.มี Art Loop เส้นทางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมความยาวกว่า 2 กิโลเมตร รอบโครงการ เพื่อเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ หรือเป็นพื้นที่เรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์งานต่างๆ สำหรับทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น
พร้อมมี One Bangkok Public Art Collection ผลงานศิลปะสาธารณะจากศิลปินระดับโลกและศิลปินท้องถิ่นที่น่าจับตามอง ที่ได้รับการคัดสรรและออกแบบให้เข้ากับบริบทของ วัน แบงค็อก โดยมีไฮไลต์คือประติมากรรมชิ้นพิเศษจาก อนิช คาพัวร์ (Anish Kapoor) และโทนี แคร็กก์ (Tony Cragg) และยังเตรียมเผยโฉม The Wireless House One Bangkok นิทรรศการที่ชุบชีวิตประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทยกลับมาเล่าใหม่อย่างร่วมสมัย บนสถาปัตยกรรมที่จะพาคุณย้อนกลับในปี พ.ศ. 2456 ถือเป็นจุดหมายแรกที่ห้ามพลาดในการมาเยือนวัน แบงค็อก
6.การบริหารจัดการขยะภายในโครงการ : วัน แบงค็อก ใส่ใจการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นโครงการ โดยมีการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อหาวัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในโครงการ เช่น การใช้ซีเมนต์ไฮโดรลิกในการก่อสร้าง หรือการจัดการขยะภายในไซต์งานก่อสร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น เช่น การรีไซเคิลเศษอิฐจากการก่อสร้างมาทำเป็นผนังกั้นเสียงของอุโมงค์ทางเข้าโครงการ หรือนำหัวเสาเข็มมาแปลงเป็นแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป รวมทั้งการดูแลจัดการขยะอาหารภายในไซต์งานเพื่อนำไปทำเป็นปุ๋ย เป็นต้น
7.การบริหารจัดการน้ำ มี 2 ระบบ ด้วยการหมุนเวียนน้ำเสียจากโครงการจากระบบท่อระบายความร้อน และระบบชำระล้างจากพื้นที่ส่วนกลาง นำมาสู่กระบวนการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งทำให้ วัน แบงค็อก ไม่มีการระบายน้ำเสียออกนอกโครงการ ทำให้ใช้ทรัพยากรน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และช่วยประหยัดน้ำได้อย่างน้อย 40% ทั้งยังมีระบบที่สามารถรีไซเคิลน้ำได้สูง 75% หรือช่วยประหยัดการใช้น้ำลงได้ 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เทียบเท่าสระน้ำโอลิมปิก 1,000 สระ รวมทั้งประหยัดพลังงานภาพรวมลงได้ราว 15%
8.การบริหารจัดการพลังงาน มีระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งต่อพลังงานความเย็นไปยังตึกต่าง ๆ ระบบทำความเย็นจะใช้น้ำอุณหภูมิต่ำจากระบบรวมศูนย์ ผ่านท่อใต้ดินไปยังแต่ละอาคาร ประหยัดไฟฟ้า 17,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง/ปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 9,000 ตัน/ปี ความพิเศษคือ ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ของโครงการสามารถจ่ายน้ำเย็นได้ทั่วทั้งโครงการ ช่วยให้สภาพแวดล้อมภายในโครงการเย็นสบาย สามารถลดการใช้พลังงาน 22% เมื่อเทียบกับระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ HVAC (Heating Ventilation and Air Conditioning)
นอกจากนี้ยังมีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงสองเส้น ที่จ่ายไฟเข้ามาภายในโครงการ โดยสมาร์ทกริดจะช่วยบริหารจัดการพลังงานได้ทั่วทั้งโครงการ ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าระบบไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยระบบนี้ สามารถจัดการกับความขัดข้องของระบบไฟฟ้าได้โดยอัตโนมัติ ช่วยเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย
9.พื้นที่สีเขียว และ Open Space : วัน แบงค็อก จัดเป็นโครงการที่มีพื้นที่สีเขียวและ Open Space มากที่สุด เพราะมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 50 ไร่ หรือราว 50% ของพื้นที่รวม 108 ไร่ รวมทั้งการมีพื้นที่สวนสาธารณะ หรือ Linear Park ขนาดกว้างจากทางเท้าถึงหน้าโครงการ 35 -45 เมตร ของทั้ง 2 ฝั่งถนนทั้งวิทยุ และพระราม 4 อยู่ระหว่างสวนลุมพินีและสวนเบญจกิตติ เพื่อใช้เป็นพื้นที่สันทนาการ และพื้นที่สาธารณะ ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการได้