จีนเป็นนักลงทุนอันดับต้น ๆ ของไทยในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ EV หน่วยงานด้านการลงทุนของไทยอนุมัติโรงงานแบตเตอรี่ BYD มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท จากผลสำรวจ Economic Intelligence Center: EIC พบนักลงทุนจีนกว่า 2 ใน 3 สนใจขยายการลงทุนมาไทยภายใน 1-2 ปี
จีนเป็นแหล่งลงทุนอันดับต้น ๆ ของไทยในปี 2565 เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เนื่องจากนักลงทุนจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก ทุ่มเงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์เข้าสู่อุตสาหกรรมสำคัญของราชอาณาจักร เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และดาต้าเซ็นเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย กล่าวเมื่อวันศุกร์
จีนครองตำแหน่งอันดับ 1 ครั้งล่าสุดในปี 2562 เมื่อผู้ผลิตพยายามปกป้องห่วงโซ่อุปทานจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยและเวียดนามเป็นหนึ่งในผู้รับทุนย้ายถิ่นฐานอันดับต้น ๆ ญี่ปุ่นได้รับสถานะสูงสุดในปี 2563 และ 2564 เนื่องจากโรคระบาดได้ปิดพรมแดนของจีนและระงับกิจกรรมการลงทุน
“แอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้นที่เราเห็นในปี 2565 ส่วนใหญ่มาจากผู้นำระดับโลก เช่น BYD Auto, Foxconn และ Amazon Web Services ซึ่งแสดงความเชื่อมั่นในประเทศไทยว่าเป็นสถานที่ที่มีความคล่องตัวและเป็นมิตรกับนักลงทุนสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต นายนฤตม์ เทิดธีระสุข เลขาธิการคณะกรรมการ กล่าว
“ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกทำให้นักลงทุนมองหาพื้นที่การลงทุนที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยที่จะใช้ช่วงเวลานี้ดึงดูดบริษัทต่าง ๆ ให้ตั้งหรือย้ายสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่นี่” นายนฤตกล่าว
ในขณะที่ญี่ปุ่นให้คำมั่นว่าจะลงทุนสำหรับโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม การลงทุนของจีนไหลไปที่การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีค่าที่สุดของประเทศไทย นักลงทุนสหรัฐเข้ามาเป็นอันดับสามด้วยเงิน 50,300 ล้านบาท (6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ) สำหรับ 33 โครงการ ไต้หวันเข้าสู่สี่อันดับแรกที่ 45,200 ล้านบาทด้วยการลงทุนจากผู้ผลิตเช่น Delta Electronics และ Foxconn สิงคโปร์ตกมาอยู่ที่ 5 ด้วยเงิน 44,300 ล้านบาท
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้านำด้วยเม็ดเงินลงทุน 1.295 หมื่นลบ. ในอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งได้รับเงิน 105,400 ล้านบาท ห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวก็ดึงดูดแอปพลิเคชันมูลค่า 54,000 ล้านบาท
บอร์ดเมื่อวันศุกร์ได้อนุมัติแผนของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสำหรับโรงงานแบตเตอรี่ โรงงานมูลค่า 3.89 พันล้านบาทจะผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสำหรับตลาดไทยและตลาดส่งออก เมื่อปีที่แล้ว BYD ทุ่มเงิน 1.79 หมื่นล้านบาทเพื่อเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกประเทศจีนในประเทศไทย ซึ่งเป็นการลงทุนที่ช่วยให้จีนเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอันดับต้น ๆ ของไทย
การเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน เช่น BYD, Great Wall Motor และ SAIC ได้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่นและการครอบงำตลาดในประเทศไทย ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น โตโยต้า มอเตอร์ ฮอนด้า และนิสสัน ช่วยสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” รักษาตำแหน่งของญี่ปุ่นในฐานะนักลงทุนชั้นนำของไทยเป็นเวลาหลายปี
บริษัท 5 แห่ง รวมถึง MG Motor ของ SAIC ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 2,100 ล้านบาทสำหรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
คณะกรรมการเรียกร้องให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องใช้กลไกอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวด้านสาธารณูปโภค ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนโดยอนุญาตให้บริษัทต่างๆ ซื้อพลังงานหมุนเวียนในอัตรารวมพิเศษ
ทุนจีนสนใจลงทุนในไทย
จากรายงานของธนาคารไทยพาณิชย์ชี้แจงว่า China Business Development, SCB ร่วมกับ Economic Intelligence Center: EIC จัดทำผลสำรวจทิศทางการลงทุนของนักลงทุนจีนในไทยหลังโควิด-19 สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางของจีนจำนวน 170 แห่งทั้งในประเทศจีนและประเทศไทย ผลสำรวจพบนักลงทุนจีนกว่า 2 ใน 3 สนใจขยายการลงทุนมาไทยภายใน 1-2 ปี น่าแปลกที่ 60% เป็นผู้ที่ไม่เคยลงทุนหรือดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน โดยมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อม และศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอาเซียนเพื่อเชื่อมโยงตลาดกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเพียงฐานการผลิตเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ 66% ของผู้ให้สัมภาษณ์มีแผนจะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย นักลงทุนจีนมีแนวโน้มปรับโครงสร้างการลงทุนในไทยจากอุตสาหกรรมการลงทุนสูงเป็นระดับล่างและเน้นอุตสาหกรรมบริการและเทคโนโลยี เทรนด์ใหม่นี้ค่อนข้างท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า รวมถึงประสบการณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงในจีน
คุณมานพ เสงี่ยมบุตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน SCB ได้วิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนของจีนในประเทศไทย “จากผลสำรวจนี้ การลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณและขยายตัวมากกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนจะไม่กระจุกอยู่ในธุรกิจเก่าอีกต่อไป เช่น การลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างฐานการผลิตเพื่อการส่งออก โครงสร้างเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนขนาดเล็กในธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจบริการ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี ไอที รวมถึงห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมของธุรกิจเกิดใหม่ แม้ว่ามูลค่าการลงทุนในแต่ละโครงการจะไม่มากเหมือนแต่ก่อน แต่จะมีโครงการและความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยเข้ามามากขึ้น ผมเชื่อว่าหลังจาก 2-3 ปีหลังโรคระบาด การเดินทางจะกลับมาเป็นปกติและการลงทุนทางการเงินจำนวนมากจากจีนในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอีกมาก”
คุณมานพระบุ 3 เหตุผลหลักที่ปรับโครงสร้างการลงทุนของจีนในไทยจากการคลัสเตอร์เป็นการกระจายการลงทุน 1) เศรษฐกิจจีนปรับตัวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยกระจายจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไปสู่การบริการและการบริโภค ดังนั้น โครงสร้างเศรษฐกิจจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและส่งผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในต่างประเทศ 2) จีนเปิดตัวแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ๆ มากมายที่มีคุณภาพระดับโลกในราคาที่เหมาะสม และกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงระดับโลก ส่งผลให้แบรนด์เหล่านั้นมองเห็นโอกาสในการลงทุนและเปิดตลาดในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน 3) จีนลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีทั้ง AI และอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานทดแทน รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น นักลงทุนจีนจึงมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านั้นแล้วส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ
ปัจจัยดึงดูดให้ชาวจีนเข้ามาลงทุนในไทย
คุณมานพกล่าวถึง 2 ปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนจีนให้มาไทย 1) ศักยภาพทางการตลาดและที่ตั้งของประเทศไทยเหมาะสำหรับการเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศในอาเซียน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการลงทุนที่สนับสนุน และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับจีนตั้งแต่ระดับที่สูงขึ้นไปจนถึงประชาชนทั่วไป และชาวจีนรู้สึกอบอุ่นใจในความเป็นมิตรและไมตรีจิตของคนไทย 2) สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนจีนหันมาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนและไทยมากขึ้น
โอกาสและความท้าทายของธุรกิจไทย
การเข้ามาของนักลงทุนจีนทำให้เกิดการจ้างงาน การเปลี่ยนถ่ายความรู้ และเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบกว่าในด้านต้นทุนที่ต่ำกว่าและเทคโนโลยีขั้นสูง “ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยต้องมีความพร้อมในการทำความเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจจีน เช่น รูปแบบและโมเดลที่ผู้ประกอบการจีนดำเนินการในประเทศจีน เนื่องจากอาจปฏิบัติตามหลักการเหล่านั้นเมื่อเข้ามาในประเทศไทย เพื่อเราจะได้หากลยุทธ์และเตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับธุรกิจจีน อันที่จริง การที่ผู้ประกอบการจีนเข้ามามากขึ้นถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ แต่ไม่ใช่เรื่องท้าทายหรือเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการไทย” คุณมานพกล่าว
ที่มา: https://asia.nikkei.com/
https://www.scb.co.th/en/personal-banking/stories/business-maker/china-investment-in-thailand.html
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
ราชกิจจาฯประกาศขึ้นค่าแท็กซี่… รถแวน 40 บาท จอดรอนาทีละ 3 บาท
https://www.thaiquote.org/content/249239
กรมควบคุมโรคกำหนดมาตรการสาธารณสุขในการเข้าประเทศไทยสำหรับผู้เดินทางชาวต่างชาติ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 66
https://www.thaiquote.org/content/249226
แบงก์รุงเทพเตือนลูกค้าอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ต้องพิมพ์ URL ด้วยตนเอง ป้องกันโดนแฮกโอนเงิน
https://www.thaiquote.org/content/249217