เบอร์ลิน เดินหน้ารณรงค์ “เมืองปลอดรถยนต์ส่วนตัว” ลดปล่อยคาร์บอน เพิ่มความสุขให้คนเมือง

เบอร์ลิน เดินหน้ารณรงค์ “เมืองปลอดรถยนต์ส่วนตัว” ลดปล่อยคาร์บอน เพิ่มความสุขให้คนเมือง


Berlin Autofrei (เบอร์ลิน เอาโตฟรัย) หรือ “เบอร์ลินปลอดรถยนต์” เป็นกลุ่มองค์กรอิสระที่เคลื่อนไหวเพื่อรณรงค์การห้ามใช้รถยนต์ส่วนตัวในเขตใจกลาง กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี

 

กลุ่มดังกล่าวได้รับรายชื่อสนับสนุนจากประชาชนมากกว่า 50,000 คน เพื่อยื่นเสนอต่อรัฐบาลให้เปิดการทำประชามติ (referendum) ขอให้เขตพื้นที่ตอนกลางของกรุงเบอร์ลิน เป็นเขตห้ามใช้รถยนต์ส่วนตัว หากประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม กรุงเบอร์ลิน จะกลายเป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์ที่มีอาณาบริเวณมากที่สุดในโลก

 

แม้ปัจจุบัน เบอร์ลินจะเป็นเมืองใหญ่ที่มีการใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยอยู่แล้ว แต่ข้อมูลทางสถิติชี้ให้เห็นว่า รถยนต์เหล้านี้ได้จับจองพื้นที่จอดรถรวมมากถึง 17 ตร.ม. และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดการจราจรหนาแน่นในพื้นที่เขตเมืองอีกด้วย

 

“นิค แคสเนอร์” ผู้นำโครงการรณรงค์ดังกล่าว เปิดเผยว่า การห้ามใช้รถยนต์ส่วนตัวในเขตกรุงเบอร์ลิน จะช่วยให้เยอรมนีสามารถบรรลุเป้าหมายในการการลด-เลิกปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ได้เร็วกว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

 

“เยอรมนีจำเป็นต้องเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ถึงครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่ภายในปี 65) จึงจะบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลกลางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากพาหนะบนท้องถนน แต่หากพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ แล้วเชื่อว่า มันจะยังไม่เกิดขึ้น เพราะในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนในเยอรมนีมีเพียง 1.3% เท่านั้น ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การลดจำนวนการใช้รถ” “นิค แคสเนอร์” กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม Berlin Autofrei ระบุว่า หากข้อเสนอได้รับการตอบสนองและถูกนำมาปฏิบัติเป็นรูปธรรม โดยจะมีการยกเว้นให้สำหรับผู้พิการหรือผู้มีความบกพร่องทางสรีระร่างกาย ที่ทำให้จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง

 

รวมทั้งผู้ให้บริการฉุกเฉิน ที่สามารถนำรถยนต์เข้ามาใช้เพื่อบริการฉุกเฉินในเขตปลอดรถยนต์ หรือ Car-free Zone ได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังเสนอให้ประชาชนสามารถเรียกใช้บริการรถเช่าในเขตนครเบอร์ลินได้ปีละ 12 ครั้ง หรือเฉลี่ยเดือนละครั้ง

 

สำหรับการรณรงค์ดังกล่าว สอดคล้องกับผลการสำรวจล่าสุดเมื่อเร็ว ๆนี้ของกระทรวงสิ่งแวดล้อม เยอรมนี ที่พบว่า ชาวเบอร์ลินกว่า 91% เห็นว่าพวกเขาจะมีความสุขในชีวิตมากขึ้น ถ้าไม่มีการใช้รถยนต์บนท้องถนน ปัจจุบัน มีคนเบอร์ลินเพียง 1 ใน 3 ของทั้งหมดเท่านั้น ที่มีรถส่วนตัวไว้ในครอบครอง