“อนุสรณ์ ธรรมใจ” จี้รัฐ เร่งตรวจโควิดเชิงรุก-ฉีดวัคซีน ให้มากที่สุด ชี้ “ล็อกดาวน์เข้ม” ไม่ช่วยหยุดโควิด แต่กระทบเศรษฐกิจรุนแรง แนะปรับงบ “กลาโหม” จัดซื้ออาวุธ เปลี่ยนเป็นงบ “สู้โควิด” ก่อนระบบสาธารณสุขจะล่มสลาย
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังและ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต เปิดเผยว่า มาตรการขยายล็อกดาวน์ ปิดกิจกรรมเพิ่มเติม เพิ่มจังหวัดและล็อกดาวน์ยาวนานขึ้น จะได้ผลน้อยมาก
อาจทำให้อัตราการเสียชีวิตและตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผลมาจากการติดเชื้อที่ลุกลามสู่ครัวเรือนและชุมชนอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการล็อกดาวน์จะมีผลกระทบเศรษฐกิจรุนแรงและยังอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มในบ้านหรือชุมชนของผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากอยู่อาศัยกันอย่างแออัด
ทั้งนี้มาตรการขยายล็อกดาวน์ จะมีประสิทธิภาพเมื่อดำเนินการคู่ขนาน กับมาตรการตรวจคัดกรองเชิงรุกในครัวเรือน ชุมชนและโรงงาน และเร่งฉีดวัคซีน mRNA ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ และชะลอการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ตลอดจนชดเชยรายได้และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการอย่างเต็มที่

ข้อเสนอนี้จะเกิดขึ้นได้ และทำให้มาตรการขยายล็อกดาวน์ได้ผลมากขึ้น ต่อเมื่อรัฐบาลตัดสินใจปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายงบประมาณใหม่ ด้วยเลื่อนการจัดซื้ออาวุธทั้งหมด นำเงินมาใช้ในงบสาธารณสุข เพื่อการเตรียมรับมือกับการล่มสลายของระบบสาธารณสุข และชดเชยรายได้ให้ประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยหากใช้เพียงแค่มาตรการขยายล็อกดาวน์ จะไม่มีประสิทธิผลและจะทำให้วิกฤติเศรษฐกิจทรุดหนักลงไปอีก
ยกตัวอย่างเช่น หากเราไม่ซื้อเรือดำน้ำเพิ่มอีกสองลำ เราจะสามารถแจกทุนการศึกษาให้เด็กยากจนทุนละ 5,000 บาท จำนวน4.5 ล้านคน และทำให้เด็กๆไม่ต้องออกจากระบบการศึกษาจากวิกฤติเศรษฐกิจโควิด
หรือซื้อวัคซีนมาฉีดฟรีให้ประชาชนได้อย่างต่ำ 123 ล้านโดส หรือ ซื้อเครื่องตรวจแจกฟรีให้ประชาชนได้ 64 ล้านคน หรือ ซื้อเครื่องวัดออกซิเจนได้ 22 ล้านเครื่อง หรือ ชุด PPE ให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ 150 ล้านชุด
ดังนั้นขอให้รัฐบาลตัดสินใจให้ดี ว่า เราควรเอาเงินกู้และเงินภาษีประชาชนไปทำอะไรระหว่าง การจัดซื้ออาวุธ กับ การใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขในท่ามกลางวิกฤติโควิด หรือ ทุนการศึกษาให้กับนักเรียนยากจนหรือซื้ออุปกรณ์ให้นักเรียนให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ทางออนไลน์ได้
“สิ่งที่ กองทัพไทย ควรทำไม่ใช่การจัดซื้ออาวุธ แต่ควรนำเอาพื้นที่ของค่ายทหารและกำลังพลมาจัดสร้างโรงพยาบาลสนามช่วยเหลือประชาชน รวมทั้ง การเร่งตรวจเชิงรุกในชุมชน และ จ่ายค่าตอบแทนให้กำลังพลชั้นผู้น้อยที่ได้ร่วมกันช่วยเหลือประชาชนมากกว่า” นายอนุสรณ์กล่าว
นอกจากนี้ควรมีการเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ของโรคและคุณภาพของวัคซีนอย่างโปร่งใส และบริหารจัดการกระจายวัคซีนตามหลักสาธารณสุข โดยหากไม่ยึดผลประโยชน์ของสาธารณสุขและสาธารณชนแล้ว จะเกิดวิกฤติในหลายๆด้านมาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
รัฐบาล ภาคธุรกิจและครัวเรือน ควรเตรียมเม็ดเงินสำหรับสถานการณ์ที่ประเทศต้องล็อกดาวน์เป็นระยะๆไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี การใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งหมดควรเลื่อนออกไปก่อน โดยเฉพาะการซื้อเรือดำน้ำ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่ประการใด

“ในส่วนของการเลื่อนฉีดวัคซีนนั้นจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประชาชนไทยส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการฉีดวัคซีนและต้องการฉีดเพื่อปกป้องตัวเอง คนรอบข้างและสังคมโดยรวม แต่เนื่องจากประสิทธิภาพในการจัดหาวัคซีนและการกระจายวัคซีนต่ำ ทำให้เกิดปัญหาขึ้น โดยประชาชนไม่ควรต้องเสียเงินในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานภายใต้สภาวะดังกล่าว และไม่ควรฉีดวัคซีนแบบผสมผสานโดยไม่มีงานวิจัยรองรับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
ส่วนวัคซีนที่ไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิดกลายพันธุ์ได้ ควรหยุดสั่งซื้อและหยุดใช้ได้แล้ว อีกวิธีที่จะแก้ปัญหาการเลื่อนการฉีดวัคซีน คือ รัฐบาลใช้ พระราชบัญญัติความมั่นคงทางวัคซีนเพื่อกำหนดสัดส่วนการส่งออก “แอสตร้าเซเนก้า” ได้เฉพาะที่เกิน 6 ล้านโดส เพื่อประเทศไทยจะได้มีวัคซีนใช้อย่างน้อย 6 ล้านโดส/เดือน “
นายกรัฐมนตรีจะต้องใช้อำนาจนี้ในการดูแลประชาชนชาวไทยและต้องดำเนินการระงับการส่งออกเกินสัดส่วนเพื่อให้วัคซีนเพียงพอใช้ภายในประเทศภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะช้าเกินไปและระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจต้องล่มสลายลง
เรื่องที่น่าสนใจ
พาทัวร์ ‘นิมิตรใหม่เมืองมีน’ ชุมชนโมเดล กับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้าน
