นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทยส่งทีมทนายคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนช่วยเหลือชาวบ้าน จ่อฟ้องโรงงานหมิงตี้ ฐานละเมิดและประมาท ทำไฟไหม้จนมีผู้รับผลกระทบจำนวนมาก หวั่นสารเคมีตกค้างระยะยาว
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 64 ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการสภาทนายความแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ พร้อมด้วยทีมทนายความประจำคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่อพยพชั่วคราว ศูนย์ช่วยเหลือประชาชน อบต.บางพลีใหญ่ จ. สมุทรปราการ เข้าพบกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานเม็ดโฟมกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบบ้านเรือน ห้างร้าน เสียหายจากแรงระเบิดและไฟไหม้ รวมไปถึงอากาศที่เป็นพิษอย่างรุนแรงกินพื้นที่หลายกิโลเมตร
โดยประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ยื่นทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะเข้าสู่การยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางหนังสือร้องเรียนกับสภาทนายความ


นายสมพร กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาเพื่อรับฟังความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุและตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนที่ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้ โดยแนะนำถึงข้อเรียกร้องและสิทธิต่างๆที่ผู้ได้รับผลกระทบพึงจะได้ โดยต้องยื่นฟ้องโดยเร็ว เพื่อให้ชาวบ้านจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลปกครองและได้รับเงินชดเชยโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ชาวบ้านต่างรู้สึกอุ่นใจที่สภาทนายความเข้ามาช่วยเหลือต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ดำเนินคดีเรื่องละเมิดและกระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายและเรียกค่าเสียหาย ให้สำรวจความเสียหายด้านทรัพย์สิน ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมไปถึงผู้ที่ได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย ให้เตรียมใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล สภาพบาดแผลต่างๆ ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งควรจะรีบไปพบแพทย์ เพื่อออกหลักฐานเตรียมตัวไว้

ส่วนปัญหาที่ยังเป็นที่กังวลใจ คือ แม้ประชาชนจะร้องทุกข์กับปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วต้องดูว่าสารเคมีที่รั่วไหลและฟุ้งกระจายในอากาศ มีผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวจึงจะแสดงอาการ หรือสะสมในร่างกายโดยไม่แสดงอาการหรือไม่ ซึ่งก็จะต้องดำเนินคดีต่อไป
น.ส. ปัญญา ศรีน้อย อายุ 46 ปี สาวโรงงาน ไทยวีฮีเคิล ในซอยเดียวกันห่างจากจุดเกิดเพลิงไหม้ เพียง 500 เมตร เล่าว่า บ้านที่อยู่ใกล้โรงงานได้รับความเสียหายจึงต้องอพยพมาอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวตั้งแต่คืนที่เกิดเหตุ ตอนนี้โรงงานต้องปิด บ้านก็ต้องซ่อมแซม ดีใจที่สภาทนายความมาให้คำแนะนำและช่วยเหลือถึงที่ เพราะตนไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายเลย

ขณะที่ นาย ชัยธนภัทร ชัยศิริปรียากุล อายุ 49 ปี เจ้าของโรงงานผลิตเครื่องดับเพลิง ในซอย 15 อยู่ห่างประมาณ 800 เมตร บอกว่า แรงระเบิดทำให้โรงงานได้รับความเสียหายประมาณ 2 แสนกว่าบาท การที่สภาทนายความเข้ามาช่วยเหลือทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยว่าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

นายสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบก็สามารถเรียกร้องในส่วนที่ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ โดยให้เก็บหลักฐานที่เกิดความเสียหายไว้ทั้งหมด ส่วนถ้าใครมีกำลังทรัพย์ก็ซ่อมแซมก่อนได้ โดยไม่ต้องรอขั้นตอนทางกฏหมายแต่ให้เก็บหลักฐานในเสร็จต่างๆไว้แสดงให้ครบถ้วนเท่านั้น

“ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ที่ คือ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ที่มีบทลงโทษทางอาญาและทางแพ่งกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีสิ่งแวดล้อม และการจัดตั้งศาลพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมโดยตรง” นายสมพร กล่าว


อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า โรงงานดังกล่าวต้องย้ายออกไปหรือไม่ นายสมพร กล่าวว่า ควรดำเนินการหาสถานที่ใหม่ให้เขาอยู่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทบทวนในเรื่องการมีโรงงานที่มีสารเคมีอันตรายร้ายแรงขนาดนี้อยู่กลางชุมชน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ซ้ำอีก เพื่อชาวบ้านจะได้ไม่หวาดระแวงหวั่นเกิดอันตรายต่อสุขภาพจากสารพิษในระยะยาว
เรื่องที่น่าสนใจ
ซีพีกวาดรายได้ ส่งตระกูล “เจียรวนนท์” ขึ้นเบอร์หนึ่งรวยสุดในไทย มีทรัพย์สิน เกือบ 1 ล้านล้านบาท
