“บ้านบาตร” รื้อฟื้นวิถีชุมชนเก่าแก่ คู่กรุงเทพฯ มนต์เสน่ห์อาชีพคนทำบาตรแห่งเดียวของโลก เคล้าคลอด้วยเสียง “เพลงรำวง”
ตั้งโจทย์กันไว้ว่า จะเขียนถึงวิถีชุมชน “บ้านบาตร” ชุมชนเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี ของกรุงเทพมหานคร กับอาชีพคนทำบาตรพระด้วยมือ หรืองาน แฮนด์เมค ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก ด้วยความที่อยากอัปเดตสถานการณ์ในขณะนี้เมื่อโควิด-19 มีผลกระทบต่อทุกอาชีพ แต่เราก็เปลี่ยนใจเมื่อพบว่านอกเหนือจาก “บาตรพระ” แล้ว ชุมชนเก่าแห่งนี้ยังมีของดีซ่อน อีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ ขณะที่ด้วยวิถีของสังคมยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป บ้านบาตร เข้าสู่ยุคของการ Transition จากบาตรเหล็กทำมือ ไปสู่ บาตรปั้มจากโรงงาน
“วันนี้การทำบาตรพระซบเซาลงอย่างเห็นไปชัด ธุรกิจเริ่มถดถอยมากว่า 10 ปี แล้ว ทั้งจากการเปลี่ยนแปลง เน้นความสะดวก สถานการณ์การเมือง ภาวะเศรษฐกิจ ล่าสุดคือการแพร่ระบาดของโควิด เราจึงรับแต่การทำงานตามออเดอร์ของลูกค้า เพราะไม่อยากให้ทุนที่มีอยู่จมไปอีก ต้องบอกว่าที่ยังอยู่ได้ก็เพราะ ศรัทธา” คุณป้า “กฤษณา แสงไชย” อายุ 70 ปี เจ้าของร้านหัตถกรรมไทยโบราณ ในชุมชนบ้านบาตร บอกกับเรา

แม้เสียงตีบาตรพระ ยังดังกังวานคล้ายเสียงระฆัง แต่น่าเศร้าที่วันนี้หลงเหลือผู้ประกอบการเพียง 5 เจ้า พร้อมกับช่างทำบาตรพระตามขั้นตอนต่างๆ อีกประมาณ 30 คน บ้านบาตรกำลังจะเหลือแต่ชื่อ
ป้ากฤษณา ย้อนอดีตให้เราฟังเมื่อเกือบ 60 ปีที่แล้ว ธุรกิจทำบาตรรุ่งเรืองมาก เธอรู้จักการทำบาตรตั้งแต่เด็ก จากการหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือให้กับพ่อแม่ ก่อนที่จะออกไปทำอาชีพของตัวเองเมื่อโตขึ้น ห่างออกไปไกลจากอาชีพคนทำบาตร

จนวันหนึ่งในขณะที่อายุกว่า 50 ปี “กระดาษสา” ผลิตภัณฑ์ชุมชนจาก จ.เชียงใหม่ ก็พาเธอย้อนอดีตกลับไปในวัยเด็ก พร้อมกับความคิดฟื้นฟูการทำบาตรของครอบครัว เธอใช้เวลาอีก 6 ปี เข้าหอสมุดแห่งชาติเพื่อศึกษาวิธีการทำบาตรพระแบบดั้งเดิม 21 ขั้นตอน และการทำบาตรพระ ตามพระธรรมวินัย ที่ประกอบด้วยเหล็ก 8 ชิ้น ตามความหมายของเครื่องอัฐบริขาร
“ป้าไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับมาทำบาตร จนวันหนึ่งที่เขามาจ้างวันละ 200 บาท ขายการ์ดกระดาษสา ให้กับนักท่องเที่ยว แล้วก็รับออเดอร์สั่งชิ้นงานกระดาษสา มีรายได้เป็นล้านนั่นแหละ เราถึงคิดว่า บ้านเราเองก็มีของดี ทำไมเราไม่กลับมาทำของดีนั้นล่ะ ตอนนั้น บ้านบาตร มีชื่อเสียงแล้ว ประมาณปี 2540 เด็กนักเรียน นักศึกษา มาทำรายงานประวัติ เราก็พบว่าข้อมูลที่เขาได้มามันคลาดเคลื่อนนะ เราเลยศึกษาการทำบาตรแบบดั้งเดิมของชุมชน ในหอสมุดแห่งชาติอีก 6 ปีเต็ม ”

ไม่เพียงแต่ “ป้ากฤษณา” จะฟื้นฟูการทำบาตรเท่านั้น แต่เวลาว่าง คุณป้ายังจับกลุ่มคนรุ่นเดียวกัน ร่วมกันฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนบ้านบาตรในอดีตให้กลับคืนมาด้วย น้อยคนจะรู้ว่า ชุมชนบ้านบาตร ไม่ได้ดังแค่ การทำบาตรพระ แต่ยังมีของดีอย่าง “เพลงรำวง” จากคณะ “รำวงบ้านบาตร”ของชุมชน ที่สร้างความสุข และความบันเทิง ให้กับคนบ้านบาตรในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่พวกเขาไม่สามารถหาความสุขจากสิ่งอื่นได้ด้วยภาวะสงครามที่กำลังเกิดขึ้น

“บางทีว่างๆ คนรุ่นเดียวกัน ก็มาร้องเล่นเพลงรำวงกัน เมื่อก่อนมี 3 คณะ รำวงบ้านบาตร รำวงกิ่งเพชร และรำวงสามย่าน คณะของบ้านบาตร ก็มีการแต่งเพลงของตัวเองโดยเอาวิถีชีวิตของชุมชน คนในชุมชนมาเขียนเป็นเนื้อร้อง อย่าง “เพลงดวงจันทร์” ที่มีทำนองคล้ายเพลงญี่ปุ่น และ “เพลงมนต์นาง” เราไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ใครนึกถึงเพลงอะไรได้ก็มาเอาเขียนไว้ ตอนนี้ก็มีประมาณ 30 เพลงแล้ว เราหวังว่าวันหนึ่งจะมีแกลอรี่ หรือพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บรักษาสิ่งของเครื่องใช้ในการทำบาตรของชุมชน สถานที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้เกี่ยวกับชุมชน มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเรา”
ดวงจันทร์เด่นงาม สวยยามข้างขึ้น
ในเวลาค่ำคืน สวยระรื่นกว่าสิ่งอื่นใด
แม้นใครได้ชมไม่วายนิยม จันทร์งามวิไล
ทอแสงสุขนวล พาใจคร่ำครวญเสียนี่กระไร…
เราหลับตานิ่งฟังเสียงร้องของ ป้ากฤษณา แล้วย้อนนึกภาพตาม เสียงเพลงได้พาเราไปพบกับภาพความรุ่งเรืองในอดีตของชุมชนบ้านบาตรยุคสงครามครั้งที่ 2 ภาพรอยยิ้ม ความสุข จากการทำบาตร และความบันเทิงจากวงรำวง…


แม้ว่าในอนาคตเสียงตีบาตร อาจจะค่อยๆเลือนหายไป เสียงเพลงลอยลมไปแสนไกล แต่ความฝันของ ป้ากฤษณา ที่ยังอยากให้เรื่องราวของชุมชนบ้านบาตรยังอยู่ต่อไป อาจถูกสืบสานด้วยการตั้งพิพิธภัณฑ์มีชีวิต เพื่อทำหน้าที่เคาะ “จังหวะชีวิต” ของคนบ้านบาตร ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงรากเหง้าของชุมชนเก่าแห่งนี้ต่อไป
บทความน่าสนใจ
