โดย…กองบรรณาธิการ ThaiQuote
ภายหลังจากที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศรายชื่อผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ ครม.ประยุทธ์ 2/2
ชื่อที่ปรากฏไม่ผิดจากโผมากนัก แต่จะแผกไปจากเดิมก็เพียงแค่ตำแหน่ง ซึ่งรายชื่อทั้งหมด ประกอบไปด้วย
1.นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่ง 2.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 3.นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
4.นายปรีดี ดาวฉาย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 5.นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกาอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 6.นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ 7.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
เมื่อได้เห็นรายชื่อที่เป็นทางการ ThaiQuote จึงยกหูหา ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ปะจำภาควิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อสอบถามถึงความคิดเห็นต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่
อาจารย์วันวิชิต บอกกับเราว่า เมื่อเห็นรายชื่อดังกล่าวแล้ว “ไม่ถือว่าเป็นการเซอไพรซ์อะไรมากมาย” เนื่องจากเป็นรายชื่อที่ปรากฏในหน้าสื่อมาโดยตลอดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หลังมีข่าวการปรับครม.ชุดใหม่
“ต้องพูดตรงๆว่า รายชื่อที่ปรากฏนั้น ก็เป็นรายชื่อที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเหมือนว่าจะสร้างปรากฏการณ์ให้ภาคประชาชนทำใจยอมรับกับการปรับเปลี่ยนครม.ชุดใหม่” วันวิชิต กล่าวกับเราในประโยคแรก
ทั้งนี้ “วันวิชิต” ได้วิเคราะห์รายชื่อรัฐมนตรีใหม่เป็นรายบุคคล โดยเหมือนว่า รายชื่อที่ดูจะสร้างความพอใจให้กับประชาชน จะมีเพียง “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” จากพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เพียงเท่านั้น
“รายชื่อที่น่าจะเหมาะสมที่สุดคือ รมว.อุดมศึกษาฯ ที่ได้นักการศึกษา มานั่งดูแลเรื่องการศึกษา โดยถือว่า อ.เอนก เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญรอบรู้ และเข้าใจด้านการศึกษา ซึ่งเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว มากกว่ารมต.คนเก่าที่ดูแลกระทรวงนี้ด้วยซ้ำไป” วันวิชิต บอกกับเรา
ขณะที่ในตำแหน่งของ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจนั้น “วันวิชิต” มองว่า ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนทางสังคมมากนัก โดยเฉพาะ “ปรีดี ดาวฉาย” ที่มีชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนจากนายธนาคารมาก่อน แน่นอนว่าจะเกิดข้อสงสัยถึงการทำงานระหว่างนักการธนาคารและข้าราชการกระทรวงการคลัง ว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ ซึ่งถือเป็นบดทดสอบที่สำคัญ
ด้าน “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” ซึ่งมีชื่อเป็น รองนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “วันวิชิต” เอ่ยแสดงความคิดเห็นว่า น่าจะเป็นแอคทีฟที่เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาพลังงาน เพราะมีความเชี่ยวชาญ และความรู้เกี่ยวกับพลังงานดีกว่า “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” แต่ในทางตรงกันข้าม ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักทางสังคมมากนัก
โดย “วันวิชิต” สรุปว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจทั้ง 2 คนนี้ จะได้รับความกดดันจากความคาดหวังของประชาชนไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 คนไม่มีโอกาสที่จะมาเรียนรู้หรือศึกษางานไปก่อนในช่วงแรก แต่ต้องเดินหน้าทำงานต่อเนื่องจากรัฐมนตรีคนเก่าในทันที
กรณีของ “อนุชา นาคาศัย” ซึ่งได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “วันวิชิต” มองว่า เป็นการแก้ไขปัญหาความเป็นเอกภาพทางการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และด้วยชื่อชั้นความเป็น เลขาฯ พปชร. พรรคแกนนำรัฐบาล จึงทำให้ “เก้าอี้” ที่ได้รับนั่นเล็กเกินไป หากเทียบกับ เลขาฯ พรรคร่วมอย่าง “ประชาธิปัตย์” และ “ภูมิใจไทย” ซึ่งได้กระทรวงเกรดเอ ขณะที่ ““อนุชา” นั่นได้นั่งในกระทรวงที่เป็นเพียงแค่เกรดซี
ขณะเดียวกันตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ของ “สุชาติ ชมกลิ่น” ประธาน ส.ส.พลังประชารัฐ นั้น ได้รับการคาดหวังว่าชื่อชั้นที่อาจเข้าใจปัญหาแรงงานเป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์ที่เคยมีด้านนี้ จะต้องใช้เวลาทำงาน เพื่อพิสูจน์ความคาดหวังของประชาชนให้ได้
“วันวิชิต” กล่าวว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการแก้ปัญหาโควต้าของ พปชร. ที่มีการเรียกร้องมาโดยตลอด ทำให้ต่อจากนี้ พปชร.จะอ้างไม่ได้แล้วว่าไม่ได้กุมกระทรวงเศรษฐกิจไว้ในมือ เพราะกระทรวงแรงงาน ถือเป็นกระทรวงที่จะทำงานต่อเนื่องจากกระทรวงเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ในโควต้าของนายกรัฐมนตรีทั้งหมด
ด้าน “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานนั้น ถือเป็นตำแหน่งใหม่ในรัฐบาลประยุทธ์2/2 วันวิชิต ไม่ขอให้ความคิดเห็นใดๆ แต่กล่าวว่า “เป็นไปตามตำแหน่งที่คุณขอมา”
“ตำแหน่งนี้ ถือว่า ไม่มีฐานเสียงใดๆเลย นอกจากเสียงกระแอมจาก พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตามใจ” วันวิชิต กล่าว
สุดท้าย คือ การมีชื่อเป็น รองนายกรัฐมนตรี ควบด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” ซึ่ง “วันชิวชิต” มองว่า เป็นไปตามเรื่องของสัมพันธภาพ เป็นการรักษาโควต้าในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไว้ต่อไป เผื่อในอนาคตจะเกิดแรงกดดันทางการเมืองเพิ่มเข้ามาอีก
“การเพิ่มตำแหน่งนี้ มีผลในอนาคตหากมีการต้องเพิ่มสัดส่วน หรือลดตำแหน่งในส่วนโควต้า รมต. ของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อลดแรงเสียดทานจากการกดดันของกลุ่มการเมืองที่ยังคงมีอยู่ภายในพรรค ดังนั้นตำแหน่งนี้จึงมีขึ้นเพื่อเป็นการรักษาโควต้าเก้าอี้ส่วนกลางของนายกฯ ต่อไปเท่านั้นเอง” วันวิชิต กล่าวถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 เป็น 5 ตำแหน่ง
นอกจากนี้วันวิชิต ยังได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจ ถึงปฏิกิริยาของภาคประชาชนต่อการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า ประชาชนไม่ได้มีความคาดหวังจากการปรับครม.ชุดนี้ และกลับกลายเป็นว่า ประชาชนมีความผิดหวัง และเป็นการผิดหวังอย่างเงียบๆ
“บทสรุปของการปรับครม.ชุดใหม่ แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไรตั้งแต่การมีโผรายชื่อออกมาก่อนหน้า ซึ่งผมคิดว่าประชาชนไม่ได้รู้สึกคาดหวังอะไรอยู่แล้ว ต่อรายชื่อที่ปรากฏดังกล่าว ไม่ปัง ไม่ว้าว รู้สึกผิดหวังแบบเงียบๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทุรนทุราย แต่ก็รู้สึกถึงการทำใจ ยอมรับสภาพมาในระดับหนึ่งแล้ว” วันวิชิต กล่าวส่งท้ายถึงบทสรุปของรายชื่อรัฐมนตรีใหม่ในรัฐบาลประยุทธ์ 2/2
ข่าวที่น่าสนใจ