โดย…กองบรรณาธิการ ThaiQuote
ไม่อาจปฏิเสธว่าเสียงของคนไทยส่วนใหญ่ น่าเชื่อได้ว่าต้องการให้ “ชีวิตกลับคืนสู่ปกติให้มากที่สุด” อีกครั้ง หลังกว่า 2 เดือนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแน่นอนว่ารัฐบาลจำต้องใช้กฎหมายในพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เข้ามาควบคุมสถานการณ์เอาไว้
และที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า มาตรการเข้มงวดของภาครัฐ ที่กำหนดรูปแบบชีวิตประจำวันของคนไทยใหม่ทั้งหมด มันก็ได้ผลมากพอสมควร กับตัวเลขของผู้ติดเชื้่อหน้าใหม่ที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับยอดตัวเลขการรักษาผู้ป่วยติดเชื้้อโควิด-19 ที่หายดี ก็สวนทางในยอดที่เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่มากตามมาแน่นอนว่ามันคือ “ความอึดอัด” จากมาตรการเข้มงวดที่รัฐบาลมาบังคับใช้คนไทย มันเลยยิ่งทำให้คนไทยที่คุ้นชินกับความสบาย ความต้องการทำตามใจตัวเอง ก็ต้องผิดแผกจากความเป็นปกติ
กระนั้น ก็ใช่ว่า รัฐบาลของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแม่ทัพต่อสู้กับโควิด-19 ในประเทศไทยที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “นักรบเสื้อขาว” หรือกลุ่มหมอ-พยาบาล – เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อย่างแข็งขัน ก็จะเพิกเฉยต่อความอึดอัดในหมู่คนไทย เพราะมันย่อมไม่ดีต่อคะแนนความนิยมสำหรับอนาคตข้างหน้า
ดังนั้น ความชัดเจนในการนำพาชีวิตคนไทยให้กลับมาสู่ปกติให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่ 100% ก็ตาม จึงเป็นอีกโจทย์ที่คณะทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ กำลังระดมสมอง และความพร้อมกันอย่างหนักรวมถึงความรอบคอบเป็นสำคัญ เพราะหากผ่อนคันเรงมาตรการเข้มงวดลง ก็ย่อมมีความเสี่ยงตามมาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจจะรุนแรงอีกครั้ง
แต่เพื่อความต้องการของคนไทย เราจึงได้ยินเสียงเล็ดลอดออกจากทำเนียบรัฐบาล ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้เตรียมพร้อมเพื่อ “ทำโพล” สำรวจความเห็นของคนไทย ว่าหลังจากบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มากว่า 1 เดือน ถึงวินาทีนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคแบบนี้ คนไทยเห็นอย่างไรว่า “ควรเลิก” หรือ “คงไว้” กับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ถือเป็นแนวทางอันดีและน่าชื่นชมในสังคมประชาธิปไตย ที่คนเป็นผู้นำมีอำนาจล้นฟ้าในการบริหารประเทศ จะทำอะไรสักอย่างที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนก็ออกมาถามความเห็นกันก่อน ไม่ใช่ปุปปับลงมือเอาดั่งใจว่าในทันที ทั้งนี้ ความเห็นของคนไทยเกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือโพลที่ว่า จะเป็นกุญแจสำคัญในการมอบให้กับ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19” ที่คุ้นหูกันกับชื่อย่อว่า “ศบค.” ได้เอาไปตัดสินใจว่าจะไขล็อกมาตรการเข้มงวดให้กับคนไทยได้ใช้ชีวิตท่ามกลางกฎหมายปกติแล้วหรือไม่
กระนั้น ในเนื้อหาโจทย์คำถามที่พล.อ.ประยุทธ์ อยากรู้ความรู้สึกของคนไทย ถูกตีกรอบวางเอาไว้ 3 เรื่องด้วยกัน ประกอบด้วย
1. ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจของประเทศ อีกครั้งยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ลดลงตามลำดับและอยู่ในความสามารถของเจ้าหน้าที่ที่จะควบคุมได้
2. ให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ยังไม่อยากให้นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
และ 3. ให้คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เอาไว้ก่อน เพราะห่วงว่าจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกรอบ แต่ขอให้ผ่อนคลายบางมาตรการ เช่น ยกเลิกประกาศเคอฟิวส์ หรือขยายเวลาเคอฟิวส์ออกไป จากเดิม 22.00-04.00 น. เป็น 23.00-04.00 น.แทน
ทั้ง 3 ประเด็นคือเรื่องที่นายกฯ อยากรู้มากที่สุดในแง่ที่ข้องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปทั้งประเทศ และความคืบหน้าเรื่องนี้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นแล้ว เพราะในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เสนาธิการทหารบก ในฐานะเสนาธิการ กอ.รมน. ที่เข้าไปรับลูกเรื่องนี้กับพล.อ.ประยุทธ์ ก็เตรียมเอาเข้าที่ประชุมกอ.รมน. เพื่อวางแผนจัดทำโพลทั้ง 3 เรื่องข้างต้นให้แล้วเสร็จ และคาดว่าในระยะเวลา 1 สัปดาห์ รายงานความเห็นของคนไทยจะถูกส่งขึ้นโต๊ะทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้าได้พิจารณา
แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไป ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ประเด็นนี้ถือว่าพล.อ.ประยุทธ์ มาถูกทางที่รับฟังเสียงของคนไทยเอาไว้ก่อนว่าจะ “เอาไง” กันแน่กับอนาคตที่เรามีสิทธิ์จะออกแบบทิศทางร่วมกันได้ในสถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ และแน่นอนว่าหากทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คะแนนความนิยมในตัว “ลุงตู่” ก็จะได้จากคนไทยมากขึ้นเช่นกัน อีกทั้ง ระยะหลัง เราไม่ค่อยได้เห็นพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาเกรี้ยวกราดตามสไตล์เดิมมากนักแล้ว แต่กลับเห็นภาพคนก้มหน้าก้มตาทำงาน รับฟังความเห็นที่ปรึกษา ใช้ความรอบคอบตัดสินใจ เคลียร์ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องการดูแลความปลอดภัยประชาชน มันจึงทำให้เห็นภาพว่านี่คือนายกรัฐมนตรี ที่กำลังก้มหน้าทำงาน ไม่ได้เงยหน้ามาด่าใคร
กระนั้นก็ตาม หากเป็นไปตาม 3 คำถามข้างต้นที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการรู้ เชื่อว่าคนไทย คงหนีไม่พ้นที่จะทิ้งน้ำหนักไปเลือก “ข้อที่ 3” เพราะการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เอาไว้ มันยังพออุ่นใจในความปลอดภัยและลดความเสี่ยงการติดไวรัส แถมด้วยว่า ยังได้เผื่อเวลาเคอร์ฟิวออกมาอีก 1 ชั่วโมง และการผ่อนคลายกิจการอื่นๆ กิจกรรมอื่นๆ ก็จะมากตาม ดังนั้น ข้อที่ 3 น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนไทย
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
“ต่อเวลาขายของจตุจักร” กทม.ให้ปิด 1 ทุ่ม เอาใจคนกรุงช้อปปิ้ง
ปิดระบบ “ทบทวนสิทธิ์” รับเงิน 5 พันบาทเที่ยงคืนวันนี้